Friday, September 14, 2018

งบประมาณแผ่นดินแบบซ้ำซาก กับอนาคตทางการคลังของไทย (อยากให้อ่าน)

ร. 10 สั่งเลือกตั้ง หรือ เคาะกะลา? ใครจะกู้ชาติที่ใกล้ล่มสลาย!!! อ. ชูพงศ์ ถี่ถ้วน-ดร. เพียงดิน รักไทย 14 ก.ย. 61

ร. 10 สั่งเลือกตั้ง หรือ เคาะกะลา?  ใครจะกู้ชาติที่ใกล้ล่มสลาย!!! อ. ชูพงศ์ ถี่ถ้วน-ดร. เพียงดิน รักไทย 14 ก.ย. 61 


---------------------
***Download ร่างจดหมาย เพื่อส่งผู้นำนานาชาติต่าง ๆ ที่ http://tinyurl.com/gsetacg
***โปรดช่วยกันกระจายและส่งให้มากที่สุดนะครับ ขอบคุณครับ
สนับสนุนแนวทางมดแดงล้มช้าง ของ คณะราษฎรเสรีไทย กับ ดร. เพียงดิน 
ส่งข้อมูลลับผ่านช่องทางที่ปลอดภัยทางลิ้งค์ต่อไปนี้
หรือที่นี่ http://tinyurl.com/pcqjppt
****ลิ้งค์ล่าสุด  http://tinyurl.com/gssuvm2
และรายงานการปฏิบัติงานและความคืบหน้าเครือข่าย ได้ที่ 4everche@gmail.com
----------------------
สนับสนุนการเผยแพร่โดย ภาคีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชน และมหาวิทยาลัยประชาชน เพื่อสาธารณะประโยชน์ ในการสร้างจิตสำนึกทางประชาธิปไตย สันติวิธี และการเคารพหลักสิทธิมนุษยชน

Copyright notice:
This video is protected under the "Fair Use Copyright Act of 1976" for the purposes of education, news reporting, research, criticism and public discussion.

Thursday, September 13, 2018

รวมพลังไปเลือกตั้งให้ได้ประชาธิปไตย ขับไล่เผด็จการ


รวมพลังไปเลือกตั้งให้ได้ประชาธิปไตย ขับไล่เผด็จการ


สวัสดีมิตรสหาย.....


ประเทศไทยเป็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์เพรียบพร้อมเป็นศูนย์กลางอนุภูมิภาค แต่ต้องกลายเป็นประเทศที่ยากจน มีหนี้สาธารณะมากมาย แต่ละครัวเรือนยังต้องแบกหนี้สินที่เพิ่มพูลขึ้น ประคองชีวิตรอวันล้มละลายเฉลี่ยอีกครัวเรือนละกว่าสองแสนกว่าบาท


แสดงว่าเราถูกชนชั้นปกครองเผด็จการปล้นชิงทุกอย่างของประเทศ ผ่านโครงสร้างอำนาจรัฐยังไม่พอ ยังกลืนกินรายได้ในอนาคตของประชาชนไทย เป็นการปล้นที่ซ้อนทับหยั่งรากลึกไปถึงลูกหลานของเรา โครงสร้างอำนาจรัฐเผด็จการที่กดทับประเทศเสมือนเป็นภูเขาสามลูก คือ ชนชั้นเผด็จการโบราณนั้นยอมให้ประเทศเป็นเมืองขึ้นยุคใหม่ ตั้งแต่สมัย ร. 4 ที่เสียสิทธินอกอาณาเขตให้คนต่างชาติยุคนั้น พลัดเปลี่ยนมหาอำนาจตัวใหม่ตามยุคสมัยถึงจักรวรรดินิยมอเมริกา ที่เขัามาตักตวงทรัพยากรณ์ด้านพลังงาน บ่อแก๊สและน้ำมัน ได้ขุดเจาะมากถึง 7000 บ่อ โดยที่ประชาชนคนไทยต้องใช้น้ำมันราคาแพงมากกว่าประเทศอื่น ๆ เกือบเท่าตัว แล้วยังต้องแบกรับมลภาวะผลพวงที่จะตามมา จากการประกอบการ ที่มีการทำเหมืองต่าง ๆ เช่นทองคำ โปร์แตส..ฯลฯ ที่คนไทยไม่มีโอกาสได้รับรู้ถึงภัยพิบัติแผ่นดินทรุด ที่จะเกิดขึ้นตามมาภายหลัง


จากปรากฏการณ์รัฐภัย ที่ประชาชนประเทศไทย ที่อำนาจเผด็จการสร้างซ้อน คือเผด็จการ การยึดอำนาจจากทหาร เฉลี่ย 6 ปีเศษ ต่อครั้ง มาตลอดประวัติการเมืองการปกครอง ของเราในแต่ละครั้งได้เกิดการทุจริตคอรัปชั่นซับซ้อนที่ตรวจสอบไม่ได้ทวีคูณ บ้านเมืองยังเกิดความเสียหายเพราะบริหารงานไม่เป็น หลงผิดการสร้างสรรค์เลยกลายเป็นการบ่อนทำลาย ถึงขั้นเสียค่าโง่หลายครั้ง เสมือนเป็นการสมคบคิดเป็นช่องทางหนึ่งในการสร้างประโยชน์จากความโง่ แล้วผลักภาระให้ประเทศและประชาชนแบกรับ ครั้งล่าสุดเกิดความบ้าใช้ ม.44 ยึดเหมืองคำ ที่ก่อนหมดสัมประทานเหลือเพียง 3 ปี ทำให้ประเทศตกเป็นจำเลยต้องชดใช้มากว่า 30,000 (สามหมื่นล้าน)


ประชาชนไทยในภาวะวิกฤติทางการเมือง ที่ต้องแบกความซับซ้อนอำนาจเผด็จการ ที่ผนึกกันในการเข้ามาตักตวงผลประโยชน์ คือจักรวรรดินิยม เผด็จการโบราณ เผด็จการทหาร จนประเทศเกิดภาวะวิกฤติทางเศรษฐกิจ ที่เรื้อรังสู่ภาวะวิกฤติทางสังคม เกิดความขัดแย้งขยายตัวตามมา จากการดิ้นรนเอาตัวรอดของแต่คนแต่ละครอบครัวที่ไม่พึงประสงค์ ถ้าขาดความคิดชี้นำทางการเมือง


ขอให้คนไทยมีสติตื่นรู้ เปลี่ยนแปลงประเทศด้วยมือของเราในโอกาสการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง สาปส่งเผด็จการทหาร คสช. ด้วยการผนึกกำลังเลือกพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยให้ชนะอย่างท่วมท้น ได้เป็นรัฐบาลใช้เสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร ออกกฏหมายล้มล้างผลพวงรัฐประหารทั้งปวงในอดีต ออกคำสั่งนโยบายทำประชามติใช้ร่างรัฐธรรมนูญที่ยึดมั่นหลักปรัชญาเป็นประชาธิปไตย แทนฉบับรัฐธรรมนูฐโจร ปี 60 เพื่อการปกครองประชาธิปไตยที่สมบูรญ์ นำประเทศสู่การสร้างรัฐสวัสดิการ


พลังชน
12-9-18

Wednesday, September 12, 2018

พระพุทธองค์ตรัสว่า.. "บุคคลแม้ไม่มีทรัพย์สินเงินทองแต่ก็สามารถให้ทานกับผู้อื่นได้ด้วยสิ่งของ 5 ประการ"

พระพุทธองค์ตรัสว่า.. "บุคคลแม้ไม่มีทรัพย์สินเงินทองแต่ก็สามารถให้ทานกับผู้อื่นได้ด้วยสิ่งของ 5 ประการ"
1. ใบหน้าเป็นทาน : สามารถให้รอยยิ้มความสดใส
2. วาจาเป็นทาน : พูดให้กำลังใจ ชื่นชมและปลอบประโลมผู้อื่นให้มาก
3. จิตใจเป็นทาน : สามารถเปิดอกเปิดใจกับผู้อื่น ด้วยความนอบน้อมและจริงใจ
4. ดวงตาเป็นทาน : ใช้แววตาแห่งความหวังดีความโอบอ้อมอารีย์ให้กับผู้อื่น
5. กายเป็นทาน : สามารถใช้เพื่อช่วยเหลือผู้อื่น
อย่าได้ตระหนี่ในการส่งต่อให้ผู้อื่น ประโยชน์จะเพิ่มพูนโปรดส่งให้กับคนที่รู้จักและเป็นญาติ ให้ได้ 108 คนแล้วจะโชคดี ร่ำรวย มั่งคั่งอย่างยิ่ง

😊กลไกแห่งกาลเวลา😊

1.ไม่ว่าเราได้พบเจอใคร เขาเหล่านั้น คือคนที่เราจะต้องได้พบเจอ ไม่มีใครเข้ามาในชีวิตเรา ด้วยเหตุบังเอิญ

2.ไม่ว่าจะเกิดเรื่องราวใดๆ ขึ้นในชีวิตเรา มันเป็นเรื่องที่จะต้องเกิด ไม่ว่าเรื่องนั้นจะดีหรือร้าย เราต้องยอมรับมัน ไม่มีเรื่องใดที่บังเอิญ

3. เรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้น เกิดเมื่อไหร่ ที่ไหน เวลาใด นั่นคือเวลาที่เหมาะสมที่สุดแล้ว ไม่มีอะไรที่ไม่ควรเกิด เพราะมันต้องเกิด ต่อให้คุณเตรียมตัวหรือไม่ได้เตรียมตัว เมื่อปัจจัยพร้อม สิ่งเหล่านั้นก็ต้องเกิดขึ้น

4. เมื่อปัจจัยจบ ต้องยอมรับว่าจบ อย่าเหนี่ยวรั้ง อย่าอาลัยอาวรณ์ ขอให้รู้ว่า เมื่อสุดมือสอย ก็ต้องปล่อยมันไป และกล้าเผชิญในสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะมีเรื่องดีๆ กำลังรอคุณอยู่ข้างหน้าเสมอ

5. ทำความดี ในปัจจุบันให้มากที่สุด โดยไม่ต้องสนใจว่า เราเคยทำกรรมอะไรในอดีตมาบ้าง เพราะคิดไปก็เปล่าประโยชน์ เราทำอะไร กับกรรมเก่าไม่ได้แล้ว....แต่ผู้มีปัญญาเท่านั้น จะรู้ว่ากรรมใหม่ดีๆ มีอะไรที่ยังไม่ได้ทำ และควรทำทันที ...สรุปคือ หมั่นทำกรรมดี ในปัจจุบัน นั้นสำคัญที่สุด !!!

ไม่ต้องไปคิดอะไรมากนักหรอก ในสิ่งที่เกิดขึ้น ถ้าตอนคุณมีวาสนาในช่วงเวลาที่ได้เจอกัน คุณทำเต็มที่ ที่สุดแล้ว จะไปรู้สึกทำไม ถ้าไม่ได้ผิดต่อเขา ไม่ผิดต่อความรู้สึกในเวลานั้น หรือ ไม่ผิดต่อตัวเอง จะคิดมากไปทำไม

จงเข้าใจแค่ว่า เมื่อทำดีที่สุดแล้ว เขาไม่เห็นค่าความจริงใจคุณ คุณก็ไม่ได้เสียคนสำคัญไป แต่เพียงคุณแค่ได้หลุดจากวงจรกับคนที่จะทำให้คุณเสียใจไปมากกว่าเดิม ต่างหาก . . .

พระราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.)


เมื่อวันที่ 12 ก.ย. เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่พระราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) สองฉบับสุดท้ายลงราชกิจจานุเบกษา คือ พ.ร.ป. ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) พ.ศ. 2561 และ พ.ร.ป. ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) พ.ศ. 2561

สำหรับ พ.ร.ป. ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. กำหนดให้มีผลใช้บังคับใช้ในอีก 90 วันข้างหน้านับแต่วันประกาศลงราชกิจจานุเบกษา หรือตรงกับวันที่ 12 ธ.ค. โดยการเลือกตั้งทั่วไปจะต้องเกิดขึ้นภายใน 150 วันนับจากวันดังกล่าว

ร่างปฏิทินเลือกตั้ง ส.ส.

12 ก.ย. - พ.ร.ป. เลือกตั้ง ส.ส. ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
23 ก.ย. - ระเบียบ กกต. ว่าด้วยการแบ่งเขตเลือกตั้ง มีผลบังคับใช้
26 ก.ย. - กกต. ออกร่างประกาศเขตเลือกตั้งและจำนวน ส.ส. (จากนั้นจะให้พรรคเสนอความเห็น)
13 พ.ย. - กกต. ออกประกาศเขตเลือกตั้ง/จำนวนประชากร/พรรคเริ่มเข้าสู่กระบวนการไพร์มารี
12 ธ.ค. - พ.ร.ป. เลือกตั้ง ส.ส. มีผลบังคับใช้กฎหมาย
19 ธ.ค. - ระเบียบ กกต. ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มีผลบังคับใช้
20 ธ.ค. - ครม. พิจารณาร่าง พ.ร.ฏ. ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ก่อนนำขึ้นทูลเกล้าฯ
31 ธ.ค. ประกาศ พ.ร.ฎ. ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.
24 ก.พ. 62 วันเลือกตั้ง
ที่มา: บีบีซีไทยปรับปรุงจากปฏิทินเลือกตั้ง(เบื้องต้น) ของ กกต. ที่เผยแพร่ในที่ประชุมของสำนักงาน กกต.

พ.ร.ป. เลือกตั้ง ส.ส. มีเนื้อหาทั้งสิ้น 178 มาตรา โดยถือเป็นครั้งแรกในไทยที่มีการนำระบบเลือกตั้งแบบ "จัดสรรปันส่วนผสม" มาใช้ โดยให้ประชาชนเลือก ส.ส. แบบแบ่งเขต 350 เขต และนำคะแนนผู้สมัคร ส.ส. ทั้งประเทศของพรรคนั้น ๆ ไปคำนวณสัดส่วนจำนวน ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อรวม 150 คน นอกจากนี้ยังกำหนดให้พรรคการเมืองแจ้งรายชื่อบุคคลที่จะเสนอตัวเป็นนายกรัฐมนตรีพรรคละไม่เกิน 3 รายชื่อแล้วประกาศให้ประชาชนรับทราบเป็นการทั่วไป

สำหรับผู้มีสิทธิเลือกตั้ง หากไม่ยอมไปใช้สิทธิก็จะถูกตัดสิทธิในการลงสมัคร ส.ส. สมาชิกท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ข้าราชการการเมือง

โดยหีบเลือกตั้งจะเปิดตั้งแต่เวลา 08.00-17.00 น. ส่วนการนับคะแนนจะเกิดขึ้นที่หน่วยเลือกตั้ง

กกต. ชุดที่ 5 กับภารกิจจัดเลือกตั้งในปีที่ 5 ของ คสช.
วิษณุ: เลือกตั้งเร็วสุด 24 ก.พ. 62
ส่วน พ.ร.ป. ว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว. จะมีผลใช้บังคับวันถัดจากวันประกาศลงราชกิจจานุเบกษา หรือวันที่ 13 ก.ย. นั่นเอง มีเนื้อหารวม 99 มาตรา โดยกำหนดให้ ส.ว. มีทั้งสิ้น 200 คน แต่เฉพาะในวาระเริ่มแรก 5 ปี กำหนดให้มี ส.ว. 250 คนจะมีที่มาจาก 3 ช่องทางคือ 1. มาจากการสรรหาของ คสช. จำนวน 194 คน 2. ผู้บัญชาการเหล่าทัพเป็น ส.ว. โดยตำแหน่ง จำนวน 6 คน และ 3. การเลือกตั้งโดยกลุ่มวิชาชีพ ซึ่งจะมาจากการเลือกตั้ง 3 ระดับ ตั้งแต่ระดับอำเภอ จังหวัด และประเทศ จำนวน 200 คนก่อนส่งรายชื่อให้ คสช. คัดเลือกขั้นสุดท้ายเหลือ 50 คน

ตามปฏิทินเบื้องต้นของ กกต. คาดการณ์ว่า ครม. จะพิจารณาร่างพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฏ.) ว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว. ในวันที่ 15 พ.ย. ก่อนนำขึ้นทูลเกล้าฯ โดยประเมินว่าจะจัดการเลือกตั้งผู้สมัคร ส.ว. ระดับอำเภอได้ในวันที่ 30 ธ.ค. ระดับจังหวัดในวันที่ 6 ม.ค. 62 และระดับประเทศในวันที่ 16 ม.ค. 62

Tuesday, September 11, 2018

การก่อเกิดเสรีประชาธิปไตยสู่มหาอำนาจอเมริกา

การก่อเกิดเสรีประชาธิปไตยสู่มหาอำนาจอเมริกา
สวัสดีมิตรสหาย การปกครองระบอบศักดินาในแผ่นดิน ยุโรป  ติดต่อกันยาวนาน  สมคบประโยชน์ ระะหว่างสถาบันกษัตริย์-สถาบันศาสนา ประชาชนทุกข์ยากในยุคมืด ได้แสวงหาดิ้นรนหาความรู้การสร้างระบอบการปกครอง เพื่อชีวิตที่ดีขึ้น


เมื่อ โคลัมบัส ได้พบทวีปอเมริกาถือว่าเป็นโลกใหม่ ได้ดิ้นรนไปสร้างเนื้อสร้างตัวในดินแดนทีหวังหลุดพ้นจากอำนาจรัฐศักดินา

หลังทำสงครามชนะอังกฤษ ได้ประกาศเอกราชสร้างประเทศเป็นสาธารณะ สหพันธรัฐอเมริกา มีระบบประธานาธิบดีเป็นผู้ปกป้องบริหารประเทศ ตามระบอบการปกครองประชาธิปไตย รวมศักยภาพเสรีชนที่ทุกชั้นชนได้มีส่วนร่วมในการสร้างความเจริญรุ่งเรือง สลัดคราบความล้าหลังของระบอบศักดินาที่เหนี่ยวรั้งสังคม เป็นมิติใหม่ทยานสู่ความเจริญรุ่งเรือง   โดยมีอำนาจรัฐหนุนเนื่องพลังปัจเจกเสรีชน ด้วยความมีเสรีภาพเสมอภาพในสิทธิและโอกาส ที่ได้กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ ที่ได้ร่วมกันร่างหลังประกาศเอกราช วันที่ 4 กรกฎาคม 1775  14 ปี    ได้ประสพความสำเร็จจากรูปแบบการปกครองที่ล้ำหน้าแห่งยุคสมัย  นำประเทศสู่มหาอำนาจ  เมื่อโลกก้าวสู่ ค.ศ. ที่ 20

ประเทศที่อุดมด้วยทรัพยากร และได้วางระบบการศึกษา บนพื้นฐานที่มีเสรีภาพล้ำหน้าระบอบศักดินาที่ล้าหลัง ประเทศได้ขยายตัวกว้างขึ้น จากความร่ำรวยมีเงินซื้อ รัฐหลุ่ยเซียน่า จากฝรั่งเศสทีมี  ซื้อนิวยอร์คจากฮอลันดา ท้ายที่สุดสมัย ประธานาธบดี ลินคอร์น ได้ซื้ออลาสก้า จากรัฐเซีย และได้ชนะสงครามขับไล่อิทธิพลของ สเปน จากทวีปอเมริกา หลังสงครามโลกได้รัฐฮาวาย  เป็นมลรัฐที่ 50

จากอำนาจทางความรู้  ได้แผ่อิทธิพลกวาดต้อนทรัพยากรขยายตลาดไปทั่วโลก รู้จักนำกำไรนั้นมาบริหารซ้ำ ส่งต่อการจ้างงานที่มีค่าแรงสูง ทำให้เกิดกำลังซื้อชีวปัจจัยเป็นแรงผลักพลังปลดปล่อยพลังการผลิต ภายในอย่างก้าวกระโดด รายได้รัฐจากภาษีที่เก็บได้มากอย่างขยายตัว   คืนกลับให้สวัสดิการสู่ประชาชน ที่สร้างปัจจัยพื้นฐานรองรับคุณภาพชีวิตชาวอเมริกันเหนือกว่าชนชาติอื่น โดยเฉพาะด้านการศึกษาถือว่าเจริญก้าวหน้ากว่าทุกชาติในโลก

แต่ทว่าจากค่าแรงงานที่สูง ได้ทำให้ค่าครองชีพที่สูงของประชาชน ส่งผลให้สินค้าอเมริกาสูงกว่าทุกชาติในโลก และเกิดการรวมศูนย์ทุนสู่ระบบการผูกขาด มีอำนาจทางการเมืองครอบครองประเทศผ่านพรรคการเมือง 2 พรรค  ภายใต้กลุ่มทุนชาวยิว ที่ไม่สังกัดสัญชาติ ที่สะสมกำไรขนาดมหึมา ได้เคลื่อนย้ายทุนออกไปทั่วโลกหลังสงครามโลกทั้งสองครั้ง เป็นการกวาดปล้นชิงหากำไรประโยชน์จากนานาชาติทุกรูปแบบ ที่ได้ใช้กองทัพของอเมริกาสนับสนุนก้าวสู่ชาติมหาอำนาจจักรวรรดินิยม ซึ่งต้องเสียค่าใช้จ่ายงบด้านความมั่นคงจากเงินภาษีของอเมริการแต่ละปีเป็นจำนวน  มีการประเมินว่า มากถึง 6% ของ GDP ที่ 70 ล้าน ๆ เหรียญที่ขยายตัวที่ติดกรอบ   เพราะสินค้าชีวปัจจัยปกติที่แพงเกิน 10 เท่า ของประเทศอื่นที่มีคุณภาพเดียวกัน เพราะค่าแรงงานที่สูงต่อเนื่องมาหลายสิบปี

สินค้าอเมริกาที่ขายได้นอกจากสินค้าด้านเทคโนโลยีที่สูงแล้ว สินค้าตัวอื่นแทบจะขายไม่ได้แล้ว คนอเมริกาที่ติดกรอบรายได้มานานส่วนใหญ่ยังต้องใช้สินค้าที่นำเข้าราคาถูกกว่าเพื่อยังชีพ  เพื่อประหยัดให้อยู่ได้เพราะรายได้ไม่พอที่จะซื้อสินค้าที่ผลิตได้ในประเทศอเมริกาเอง ทำให้แต่ปีต้องขาดทุนดุลการค้าทั่วโลกเป็นจำนวนมากเพิ่มขึ้นมาหลายสิบปีแล้ว

แต่ในสภาพนี้กลุ่มทุนผูกขาดที่กุมอำนาจรัฐ   ต้องอาศัย  ช่องทางสร้างกำไร  จากสร้างตลาดตราสารอนุพันธ์  ใช้เงินตราดอลล่าร์เป็นสินค้า   ให้เงินดอลฯ  มีฐานะเป็นเงินตรากลางในการซื้อขายของชาวโลก  ที่แต่ละวันหมุนเวียนต่อวัน มากกว่า 5 ล้าน ๆ ดอลล่าร์  โดยมากใช้ซื้อขายพลังงานน้ำมันโดย  ประเทศซาอุดิอารเบีย ประกาศใช้เงินดอลฯชี้นำราคาตลาดโลก

รายได้อีกทางหนึ่งได้จากการค้าอาวุธด้วยการอยู่เบื้องหลังการสร้างความตรึงเครียด   ในภูมิภาคต่าง ๆ ให้เกิดความขัดแย้งเพื่อให้ขายอาวุธได้

จากภาวะนี้ทำให้อเมริกาต้องตกเป็นลูกหนี้ชาวโลก ผ่านการขายพันธะบัตร และได้อาศัยการแก้ไขให้เกิดสภาพคล่องด้วยการพิมพ์เงินดอลล่าร์ออกสู่ตลาดผ่านระบบ QE  โดยไม่ได้มีอะไรค้ำประกันเงินตราในแต่ละครั้งที่พิมพ์ออกใช้ เป็นการปล้นชาวโลกด้วยการใช้เงินดอลล่าร์ในการปล้นชิง ที่มีเงินดอลล่าร์ใช้ในตลาดโลก มีการติดตามประเมิน มากกว่า 700 ล้านๆเหรียญ  ที่ทั่วโลกรู้ทันไม่ยอมรับ นำมาสู่สงครามเงินตรา ตามาด้วยสงครามการค้าในปัจจุบัน

กลางเดือนนี้ ได้มีการประชุมกลุ่มประเทศชั้นนำเศรษฐกิจที่จีน  หารือกันรับมือสงครามการค้าที่ อเมริกาเป็นผู้ก่อด้วยการขึ้นภาษี ปฏิเสธการค้าเสรีที่อเมริกาเป็นผู้นำกำหนด  ขอให้ติดตามว่าความขัดแย้งจะลงเอยอย่างไร


พลังชน
11 ก.ย. 18

Monday, September 10, 2018

ยุคเหี้ยครองเมือง โกงสัญชาติไทย

ยุคเหี้ยครองเมือง...😤😡โกงสัญชาติไทย


วันนี้คนต่างชาติสามารถหาซื้อบัตรประชาชนและทะเบียนบ้าน ‘ของแท้’ ใบต่างด้าว วีซ่าทำงาน จนมีสิทธิ์ซื้อบ้านซื้อคอนโดได้หากจ่ายเงิน 1–3 แสนบาท จึงไม่แปลกอะไรที่เราจะพบเห็นการอยู่อาศัยรวมตัวกันของคนแขกขาวแถวนานาเหนือ คนจีนคนอุยกูร์แถวสาทรบางรัก คนเวียดนามที่รังสิต รวมทั้งมีคนอินเดีย ปากีสถาน เกาหลี ฝรั่งผิวขาว แอฟริกันผิวดำ ที่อาศัยใน กทม. และเมืองท่องเที่ยวทั่วประเทศ


คนเหล่านี้จะทำสารพัดวิธีรวมถึง ‘ติดสินบน’ เพื่อให้ได้สัญชาติไทย บัตรประชาชน บัตรคนต่างด้าว หรือวีซ่าที่ทำให้สามารถอยู่อาศัย หากินและซื้อทรัพย์สินในเมืองไทย ด้วยความร่วมมือของกลุ่มข้าราชการขี้โกง และมักง่ายกับเครือข่ายมาเฟีย หรือกลุ่มธุรกิจสีดำ ที่วิ่งเต้นให้มีการออกเอกสาร ‘ถูกกฎหมาย’ โดยใช้เอกสารปลอม สวมสิทธิ์ หรือมีพฤติกรรมหลอกลวงเป็นเท็จ โดยทั่วไปคนต่างชาติอาจได้สัญชาติไทย สิทธิ์อยู่อาศัยและทำงานตามเงื่อนไขของกฎหมายหลายประการ ในที่นี้ขอรวมเป็น 4 กลุ่มหลัก คือ ครอบครัว ประกอบธุรกิจ ทำงาน และการศึกษา

การอ้างความเป็นครอบครัว เช่น สวมทะเบียนคนตาย อ้างว่าตกสำรวจ แจ้งเด็กเกิดโดยคนไทยรับสมอ้างเป็นพ่อแม่ ปลอมแปลงเอกสารแจ้งเกิด คนไทยเอาชื่อคนในครอบครัวที่อยู่ต่างประเทศไปขายจากนั้นก็เอาเงินประกันสังคมหรือสวัสดิการจากรัฐอีกต่อ ปลอมแปลงเอกสารการตรวจดีเอ็นเอ เป็นต้น

การจดทะเบียนสมรสหลอก ๆ กับคนไทย กำลังนิยมทำกันในหมู่ชาวอินเดียและปากีสถาน เห็นได้จากข่าวกวาดจับของตำรวจและมีคดีเข้าสู่ ป.ป.ท. จำนวนมาก เช่น ช่วงปี 2554 – 2556 พบว่า ที่สระบุรีมีการใช้บัตรประชาชนหญิงไทยไปจดทะเบียนสมรสมากถึงกว่า 2 พันราย ยังมีที่ อ.โนนสังข์ 611 ราย ในปี 2560 ที่ อ.บางเลน นครปฐม พบมากกว่า 700 ราย มีทั้งที่ถูกแอบอ้าง และเจ้าตัวรู้เห็น ผ่านนายหน้าในท้องที่อีกทอดหนึ่ง โดยการจดทะเบียนหลอก ๆ นี้ จะถูกหย่าร้างภายในไม่กี่วัน หลังจากคนต่างชาตินำทะเบียนสมรสไปเดินเรื่องของตนแล้ว

การทำงาน คือเป็นลูกจ้างพนักงานตามโรงเรียน โรงแรม ภัตตาคารและบริษัทต่าง ๆ ที่พบบ่อย คือ ครูสอนภาษา สอนดำน้ำ สอนคอมพิวเตอร์ แต่ส่วนหนึ่งไม่ได้ทำจริง เพียงแต่ให้สถานประกอบการออกเอกสารรับรองให้ นอกจากนี้ ยังมีคนถือขอวีซ่านักท่องเที่ยวแต่แอบทำงาน วิธีนี้ทำให้นายจ้างจ่ายค่าแรงถูกลง แต่มักต้องแลกกับการจ่ายส่วยให้กับเจ้าหน้าที่ที่พบเห็นการกระทำ

การศึกษา คือทำวีซ่ามาเรียนหนังสือแต่ไม่ได้เรียนจริง กรณีนี้พบว่า มีนายหน้าจัดหาสถานที่เรียนให้โดยไม่ต้องเข้าเรียนได้ค่าจ้างประมาณหมื่นห้าพันบาท บางรายจ่ายแพงหน่อยยังได้ปริญญาบัตรติดมือกลับไปด้วย

การประกอบธุรกิจ เรื่องนี้กำลังลุกลามมาก ยิ่งมีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นอย่างกรณีเรือท่องเที่ยวล่มที่ภูเก็ต บริษัทนำเข้าขยะอิเล็คทรอนิกส์ และร้านหมูกะทะเวียดนาม ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า ทำไมจึงปล่อยให้คนเหล่านี้มาใช้ทรัพยากรของเรา กอบโกยเงินทองโดยไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรี และความเสื่อมโทรมเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับประเทศไทย เกิดเป็นกลุ่มแก๊งค์มาเฟียตามจังหวัดท่องเที่ยว ตั้งนอมินีทำธุรกิจผิดกฎหมาย ขายของปลอม ผูกขาด จนน่ากังวลว่าคนเหล่านี้อาจเป็นภัยร้ายต่อความสงบสุข สังคมและเศรษฐกิจไทยได้ตลอดเวลา

จังหวัดที่พบพฤติกรรมเหล่านี้มากมักเป็นเมืองท่องเที่ยว หรือจังหวัดที่อยู่ติดกับเมืองใหญ่ เช่น สมุทรปราการ สมุทรสาคร สระแก้ว นครปฐม พังงา ขอนแก่น อุดร ลพบุรี และเชียงราย เพื่อมิให้ตกเป็นเป้าหมายในการตรวจสอบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมากนัก เว้นแต่จังหวัดใดที่นักการเมืองย่ามใจว่าตนมีอำนาจ อิทธิพลและสายสัมพันธ์เหนือกลไกการตรวจสอบ ก็จะลงมืออย่างไม่เกรงกลัว ดังที่พบในเชียงใหม่ และ กทม. บางเขต

หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องมีตั้งแต่ กรมการปกครอง กทม. กำนันผู้ใหญ่บ้าน อปท. ตรวจคนเข้าเมือง สันติบาล ตำรวจท้องที่ กอ.รมน. สมช. กรมการกงศุล ป.ป.ท. ดีเอสไอ ประกันสังคม และแรงงาน

ผลประโยชน์เถื่อนจากกรณีเหล่านี้ จะตกแก่เจ้าหน้าที่ที่มีส่วนร่วมในขั้นตอนต่าง ๆ ของการปลอมแปลง หรือแก้ไขข้อมูลราชการ กลุ่มนายหน้าที่นำคนเข้าเมือง จัดหาที่พักพิงและเดินเรื่อง จากนั้นจึงเป็นการจ่ายส่วยของคนต่างชาติ และนายจ้างเพื่อแลกกับการดูแลคุ้มครองในพื้นที่

นับวันการปราบปรามจะทำได้ยากขึ้น เพราะการที่พวกเขาร่วมมือกันมานานจนพัฒนาเป็นเครือข่ายเข้มแข็งใหญ่โต มีผลประโยชน์และคนเกี่ยวข้องจำนวนมาก สามารถปฏิบัติการได้ครอบคลุม และมีการช่วยเหลือคุ้มครองกันได้มากขนาดนี้ ย่อมต้องมีเจ้าหน้าที่หลายหน่วยงานคอยช่วยเหลืออำนวยความสะดวกอยู่ ดังนั้นคนไทยจึงต้องแสดงพลังกระตุ้นเตือนทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเร่งทำงานเชิงรุกให้จริงจังก่อนที่จะสายไปกว่านี้

ชมสารคดีเรื่องนี้ผลิตโดยทีวี ไทยพีบีเอส ทีวีช่องหมายเลข 3 https://youtu.be/jz_nWi-45PA

ดร. มานะ นิมิตรมงคล
เลขาธิการ องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย)

7 กันยายน 256














การออกหมายจับ จากการสร้างความเท็จให้ร้ายผู้บริสุทธิ์ ครั้งแล้วครั้งเล่าในยุคเผด็จการ

ทหารส่งตัวผู้ต้องหาคดีหมิ่นสถาบันฯ 2 คนให้ตำรวจ-เปิด 9 รายชื่อผู้ต้องหา

 

 

 

 

 

 

 

 

 

หมายเหตุ*** ข่าวนี้เป็นการสร้างความเท็จ เพื่อเป็นการใส่ร้ายคนเสื้อแดง เพื่อกลบเกลื่อนกระแสการโกงการก่อสร้างอุทยานราชภัฎ เมื่อ ปี 2558 จนเป็นเหตุต้องออกหมายจับ และยัดเยียดข้อกล่าวหา 112 ให้กับอีกหลายคน และยังติดคุกยังไม่ได้รับการประกันตัวอยู่ในขณะนี้


วันนี้ (26 พ.ย.2558) ทหารส่งตัวผู้ต้องหา 2 คนให้ตำรวจดำเนินคดีฐานหมิ่นสถาบันเบื้องสูงและกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ หลังจากพบว่าทำการเผยแพร่ผ่านข้อมูลผ่านสื่อสังคมออนไลน์เตรียมก่อเหตุวุ่นวายในกิจกรรมสำคัญ ขณะที่ตำรวจพบว่ามีกลุ่มผู้ร่วมกระทำความผิดในกรณีนี้รวมทั้งหมด 9 คนซึ่งอยู่ในเครือข่ายที่รู้จักกันในชื่อ "ขอนแก่นโมเดล"

ทหารจากกองพลทหารม้าที่ 1 รักษาพระองค์ควบคุมตัว จ.ส.ต.ประธิน จันทร์เกศและนายณัฐพล ณ.วรรณ์เล ผู้ต้องหาคดีหมิ่นสถาบันตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา112 และความผิดพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ ส่งมอบให้พนักงานสอบสวนกองปราบปรามเพื่อสอบปากคำ โดยนำผู้ต้องหาทั้่ง 2 คน มาตรวจสอบประวัติอาชญากร ตรวจร่างกายและทำบันทึกการส่งมอบตัวผู้ต้องหา

ตำรวจเปิดเผยว่าทั้ง 2 คน มีพฤติกรรมเผยแพร่ข้อความผ่านสื่อสังคมออนไลน์ในลักษณะหมิ่นสถาบันฯ และวางแผนก่อเหตุ สร้างความวุ่นวายในงานกิจกรรมสำคัญ

พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติระบุว่า ทหารตรวจสอบข้อมูลการข่าวและนำหลักฐานเข้ายื่นขออนุมัติหมายจับผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด 9 คน แต่สามารถติดตามจับได้ 2 คน คือ จ.ส.ต.ประธินและนายณัฐพล ส่วนอีก 7 คนหลบหนีไป

ตำรวจระบุด้วยว่าบุคคลทั้งหมดเคยถูกออกหมายจับในข้อหาหมิ่นเบื้องสูงมาก่อนหน้านี้ และทุกคนอยู่ใน "เครือข่ายขอนแก่นโมเดล"

"ขอยืนยันว่าขบวนการนี้มีจริง อยากจะสื่อให้พี่น้องประชาชนทั่วประเทศทราบด้วยว่าขบวนการนี้มีจริง ไม่ได้สร้างขึ้นมาแต่อย่างใด เพราะเรามีการข่าวและการควบคุมตัวจริง รวมทั้งยึดอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ" ผบ.ตร.กล่าว

พล.ต.ต.ชยพล ฉัตรชัยเดช ผบท.กองแผนงานอาชญากรรม สำนักยุทธศาตร์ตำรวจ กล่าวในการแถลงข่าวเรื่องการดำนินคดีกับกลุ่มผู้ต้องหาหมิ่นสถาบันฯ จำนวน 9 คนวันนี้ (26 พ.ย.) ว่า ฝ่ายความมั่นคงของทหารได้สืบสวนเฝ้าติดตามข่าวสารที่ปรากฏในโซเชียลมีเดียและพบว่ามีการกระทำความผิดซ้ำ โดยผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมในคดี "ขอนแก่นโมเดล" ได้กระทำความผิดซ้ำโดยส่งข้อความผ่านโซเชียลมีเดียในลักษณะหมิ่นสถาบัน

"นอกจากข้อความหมิ่นสถาบันแล้วยังมีแนวคิด มีการวางแผน ปรึกษาหารือกันเตรียมอาวุธที่จะมาทำการก่อเหตุในเทศกาลสำคัญในพื้นที่ต่างๆ คสช.จึงได้มอบหมายให้ พล.ต.วิจารณ์ จดแตง มาร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน กองปราบปราม ให้ดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด" พล.ต.ต.ชยพลกล่าว

ทั้งนี้ ตำรวจได้เผยแพร่เอกสารรายละเอียดการดำเนินคดีกับผู้ต้องหาและรายชื่อผู้ต้องสงสัยทั้ง 9 คน ซึ่งระบุว่า

"ด้วยคณะรักษาความสงบแห่งชาติได้ตรวจพบว่า มีกลุ่มบุคคลมีพฤติการณ์ส่งข้อความผ่าน Social Media ในลักษณะหมิ่นสถาบันฯ และวางแผนจะก่อเหตุร้าย สร้างความวุ่นวายในช่วงเทศกาลสำคัญในพื้นที่ต่างๆ การกระทำของกลุ่มบุคคลดังกล่าวก่อให้เกิดความเสียหายต่อสถาบันฯและความเสียหายอื่นๆ ในวงกว้าง เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของทหารได้ใช้อำนาจตามคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 3/2558 เรียกตัวบุคคลที่เกี่ยวข้องมาเพื่อสอบถามข้อมูลและควบคุมตัวไว้ ซึ่งจากการซักถามพบว่ามีมูลกระทำความผิดจริง จึงได้มอบหมายให้ พล.ต.วิจารณ์ จดแตง หัวหน้าฝ่ายกฎหมาย คณะรักษาความสงบแห่งชาติ มาแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปราม ให้ดำเนินคดีกับกลุ่มบุคคลผู้กระทำความผิดดังกล่าวฐาน "หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์" ตาม ป.อาญา มาตรา 112

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ได้มีคำสั่ง ตร.ที่ 682/2558 ลง 25 พ.ย.58 แต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน โดยมี พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร.เป็นหัวหน้า, พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผบช.ก. และ พล.ต.ต.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา รอง ผบช.กมค. เป็นรองหัวหน้า กับพวก ร่วมกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของทหารทำการสืบสวนสอบสวน รวบรวมพยานหลักฐานจนเป็นที่แน่ชัดและเชื่อได้ว่ากลุ่มบุคคลร่วมกระทำความผิด ประกอบด้วย

1.จ.ส.ต.ประธิน จันทร์เกศ อายุ 60 ปี หมายจับศาลทหารกรุงเทพที่ 43/2558 และ 52/2558
2.นายณัฐพล ณ.วรรณ์เล อายุ 26 ปี หมายจับศาลทหารกรุงเทพที่ 44/2558
3.นายพิษณุ พรหมสร อายุ 58 ปี หมายจับศาลทหารกรุงเทพที่ 45/2558
4.นายวัลลภ บุญจันทร์ อายุ 33 ปี หมายจับศาลทหารกรุงเทพที่ 46/2558
5.นายฉัตรชัย ศรีวงษา อายุ 24 ปี หมายจับศาลทหารกรุงเทพที่ 47/2558
6.นายมีชัย ม่วงมนตรี อายุ 49 ปี หมายจับศาลทหารกรุงเทพที่ 48/2558
7.นายธนกฤต ทองเงินเพิ่ม อายุ 49 ปี หมายจับศาลทหารกรุงเทพที่ 49/2558
8.นายวีรชัย ชาบุญมี อายุ 33 ปี หมายจับศาลทหารกรุงเทพที่ 50/2558
9.นายพาหิรัณ ทองคำ อายุ 44 ปี หมายจับศาลทหารกรุงเทพที่ 51/2558

ข้อหา ร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี  รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์, นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จ รวม 9 คน พนักงานสอบสวนจึงได้ขออนุมัติศาลทหารกรุงเทพ และศาลได้อนุมัติออกหมายจับบุคคลดังกล่าวดำเนินคดีตามกฎหมาย ต่อมาวันนี้ (26 พ.ย.2558) ครบกำหนดควบคุมตัว จ.ส.ต.ประธิน และนายณัฐพล เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของทหารได้ส่งตัวบุคคลดังกล่าวมอบให้พนักงานสอบสวน จึงได้แจ้งข้อหาและจับกุมตัวผู้ต้องหาดำเนินคดี

จากการสอบสวนผู้ต้องหาให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา


(นี่คือการสร้างข่าวเท็จ ทั้ง ๆ ที่ผู้ถูกกล่าวหาปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา)

หลังจากสอบสวนเสร็จสิ้นแล้ว พนักงานสอบสวนจะยื่นคำร้องขอฝากขังผู้ต้องหาต่อศาลกรุงเทพในวันเดียวกัน โดยหากปรากฏพยานหลักฐานการกระทำผิดในคดีอื่นๆ จะได้ทำการสืบสวนสอบสวนเพื่อดำเนินคดีต่อไป สำหรับผู้ต้องหาที่เหลือ อยู่ระหว่างการหลบหนี จะได้ติดตามจับกุมดำเนินคดีต่อไป

มาดูความเหี้ยของ คสช. ในอดีต ที่สร้างคดีเท็จ ใส่ร้ายคนบริสุทธิ์จำนวนมาก

หมายเหตุ*** ข่าวนี้เป็นการสร้างความเท็จ เพื่อเป็นการใส่ร้ายคนเสื้อแดง เพื่อกลบเกลื่อนกระแสการโกงการก่อสร้างอุทยานราชภัฎ เมื่อ ปี 2558 จนเป็นเหตุต้องออกหมายจับ และยัดเยียดข้อกล่าวหา 112 ให้กับอีกหลายคน และยังติดคุกยังไม่ได้รับการประกันตัวอยู่ในขณะนี้


ตามไปดูผลงานเผด็จการ และขบวนการสมคบคิดสร้างวาทะกรรม ใส่ร้ายผู้บริสุทธิ์กัน (คลิกที่ลิงค์เลย)

เหล้าเก่าในขวดใหม่ กับขบวนการสร้างความเท็จ ยัดข้อกล่าวหาให้คนเสื้อแดง เพื่อรับใช้เผด็จการ คสช.


หมายเหตุ*** ข่าวนี้เป็นการสร้างความเท็จ เพื่อเป็นการใส่ร้ายคนเสื้อแดง เพื่อกลบเกลื่อนกระแสการโกงการก่อสร้างอุทยานราชภัฎ เมื่อ ปี 2558 จนเป็นเหตุต้องออกหมายจับ และยัดเยียดข้อกล่าวหา 112 ให้กับอีกหลายคน และยังติดคุกยังไม่ได้รับการประกันตัวอยู่ในขณะนี้


MGR Online - ผบ.ตร.ยันทหารบุกควบคุมตัวอดีต ตชด.ร่วมมือพลเรือน เตรียมก่อวินาศกรรมใน กทม. พุ่งเป้าบุคคลสำคัญในรัฐบาลหลังพบข้อมูลการสื่อสาร เชื่อมีคนสั่งการเบื้องหลัง เตรียมรับตัวขยายผลสอบในวันพรุ่งนี้

วันนี้ (25 พ.ย.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวถึงกรณีที่ทหารควบคุมตัว จ.ส.ต.ประธิน จันทร์เกศ อดีตตำรวจตระเวนชายแดน, นายพิษณุ พรหมสร และนายณัฐพล ณวรรณ์เล ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ หลังพบพฤติกรรมมีการสื่อสารเตรียมก่อเหตุวุ่นวายใน กทม.ว่า กรณีตำรวจสืบสวนติดตามมาตลอด เฝ้าฟัง และดำเนินกรรมวิธีข่าวกรองด้านความมั่นคงทุกมิติ กระทั่งพบข้อมูลว่ากลุ่มนี้มีความเคลื่อนไหวจะก่อเหตุไม่สงบ จึงได้สืบสวนจับกุมคุมตัวไว้ตามปรากฏข่าว แต่บอกไม่ได้ว่ามีเป้าประสงค์ก่อเหตุลักษณะใด

“ที่บอกได้คือกลุ่มนี้พุ่งเป้ามาที่ กทม. มาก่อเหตุ มีมูลว่าพุ่งเป้ามาที่บุคคลสำคัญในรัฐบาล ในทำนองว่ามาก่อวินาศกรรม วางระเบิดประมาณนั้น แต่ยังไม่ทราบแนวคิดของกลุ่มนี้มาเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมืองหรือไม่ เรามีหลักฐานแต่อยู่ในขั้นตอนสืบสวนสอบสวนยังไม่สามารถบอกได้ อย่างที่รู้ๆ กันก็มีข้อมูลการสื่อสาร ทั้งการติดต่อในแอปพลิเคชันไลน์ ลายมือชื่อ ที่ปรากฏในโลกออนไลน์ ซึ่งการที่ศาลทหารอนุมัติหมายจับผู้ต้องหากลุ่มนี้เพราะมีข้อมูลยืนยันได้ว่าจะมาก่อเหตุใน กทม.” ผบ.ตร.กล่าว

พล.ต.อ.จักรทิพย์กล่าวว่า ตำรวจกำลังสืบสวนขยายผลว่ามีความเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดก่อนหน้านี้ทุกๆ เหตุ ทั้งที่ราชประสงค์ และห้างสยามพารากอนหรือไม่ ตอนนี้ให้น้ำหนักมูลเหตุจูงใจทุกประเด็นรวมถึงเรื่องการเมือง ไม่ตัดประเด็นใดทิ้ง หรือให้น้ำหนักประเด็นใดเป็นพิเศษ 

พล.ต.อ.จักรทิพย์กล่าวด้วยว่า ตำรวจจะสืบสวนขยายผลขบวนการนี้ เชื่อว่ามีมากกว่า 3 คน และมีผู้ที่ใหญ่กว่านี้สั่งการอยู่ข้างบน อย่างไรก็ตาม เมื่อพบความเคลื่อนไหวของกลุ่มนี้แล้ว เจ้าหน้าที่จึงรีบเข้าไปดำเนินการจับกุม ยับยั้งเอาไว้ไม่ให้ก่อเหตุ ขอยืนยันกับประชาชนว่าอย่าตระหนกกับข่าวนี้ โดยตำรวจดูแลความปลอดภัยของประชาชน มีหน่วยข่าวกรองจับตาเฝ้าระวังคนกลุ่มนี้อย่างใกล้ชิด ป้องกันไม่ให้ก่อเหตุ เรื่องนี้ต้องสืบสวนต่อไปหาที่มาที่ไปของกลุ่มนี้ โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคงได้สั่งให้ติดตามเฝ้าระวังเหตุต่อไปอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้คงไม่ต้องคาดโทษ หรือลงโทษตำรวจในพื้นที่ เพราะพื้นที่มีงานมากอยู่แล้ว ตร.ก็มีชุดพิเศษที่ทำงานด้านความมั่นคงมีเครื่องมือทำงานด้านข่าวมากกว่าก็เข้าไปช่วยกันทำงาน 

ด้าน พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร.ด้านความมั่นคง กล่าวว่า ตนได้รับรายงานเรื่องนี้แล้วและติดตามอย่างใกล้ชิด คาดว่าจะเริ่มทำสำนวนคดีนี้ได้เร็วๆ นี้ เบื้องต้นทราบว่ามีการจับกุมผู้ต้องหาแล้ว เบื้องต้นข้อมูลทหารชี้ว่ากลุ่มนี้เตรียมก่อเหตุไม่สงบใน กทม. โดย พล.อ.ประวิตรได้กำชับให้เพิ่มความเข้มงวดในการดูแลความสงบและความปลอดภัยในพื้นที่ กทม. อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายนที่ผ่านมา พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ นายทหารพระธรรมนูญ ได้เข้าพบตนหารือและนำข้อมูลคดีนี้มาให้ เพื่อร่วมกันดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

ขณะที่มีรายงานว่า ในวันที่ 26 พฤศจิกายน พล.ต.อ.จักรทิพย์ และพล.ต.อ.ศรีวราห์ จะรับมอบตัวผู้ต้องหาจากทหารที่ห้องกระจก ชั้น 2 อาคาร 1 ตร. และจะแถลงข่าว ณ ห้องศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 ตร.

ที่มาข่าว : สื่อที่เลียส้นตีนเผด็จการ

นายกฯ มหาเธร์ได้ไปอธิบายให้ชัดขึ้นที่ท่านจะไม่ยอมให้วีซ่าระยะยาวแก่ผู้เข้าอยู่อาศัยในโครงการหรูนี้






















ท่านยังได้พูดเสริมอีกว่า “ในช่วงชีวิตของผม ได้พบเห็นพวกคนจีนที่ได้อพยพเข้ามาเลเซียในฐานะผู้ใช้แรงงาน พวกเขาจะเพาะและขายถั่วงอก และทำเต้าหู้ขาย; ตอนนั้น ชาวมาเลย์ที่ร่ำรวยจะจ้างคนจีนเป็น “อาม่า” ไว้เป็นพี่เลี้ยงของลูกๆ...ซึ่งต่อมาบรรดาลูกหลานจีนเหล่านี้ได้ประสบผลสำเร็จจนกลายเป็นเศรษฐีมากมายในแผ่นดินนี้”

น่าคิดสำหรับคนจีนรุ่นใหม่ที่ต่างกับคนจีนรุ่นเสื่อผืนหมอนใบที่เข้ามาเป็นกุลีทำงานหนัก หนีความยากจนข้นแค้นในแผ่นดินใหญ่ และประสบผลสำเร็จจนได้เป็นเศรษฐีในดินแดนสุวรรณภูมิ และอุษาคเนย์แห่งนี้ เพราะคนจีนรุ่นใหม่เติบโตมาเป็นลูกชายคนเดียวแบบจักรพรรดิ ที่ต่อสู้อย่างไม่มีปรานีปราศรัยหรือผูกผันกับเจ้าของแผ่นดินที่เขาเข้ามาตั้งรกรากใหม่ด้วยซ้ำ
อยากให้นายกไทย มีวิสัยทัศน์ เช่นคุณปู่มหาเดห์มั่ง ช่วยแชร์ต่อๆกันไป




















สุดารัตน์ เป็นนักการเมืองประเภทเต่าล้านปี ทุกวันนี้ยังเป็นหมารับใช้เจ้าเต่าล้านปีอย่างคงเส้นคงวา

แรงส์...!
สุดารัตน์ เป็นนักการเมืองประเภทเต่าล้านปี ทุกวันนี้ยังเป็นหมารับใช้เจ้าเต่าล้านปีอย่างคงเส้นคงวา

สุดารัตน์จึงไม่มีคุณสม บัติของคนรุ่นใหม่ คุณจะนำคนรุ่นใหม่ได้อย่างไร คุณยังตามหลักคิดของคนรุ่นใหม่ไม่ทันห่างไกลกันมากครับ มากเกินกว่าที่สุดารัตน์จะเข้าใจและตามทัน


คนรุ่นใหม่เขาใฝ่หาอิสระภาพ เสรีภาพ พวกเขาเหล่านั้นเรียกร้องประชาธิปไตยแบบเอาชีวิตเป็นเดิมพัน แต่คุณยังปราบปลื้มกับการได้ใกล้ชิดเผด็จการทหาร งานเลี้ยงแต่งงานลูกชายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์นั่นชัดเจนเป็นอย่างยิ่งกับการแสดง ออกของพล.อ.ประ ยุทธ์ จันทร์โอชา ที่มีต่อสุดารัตน์ และหากย้อนอดีตไปไกลอีกหน่อย เมื่อตอนพรรคไทยรักไทยถูกยึดอำนาจเมื่อปี 49 สุดารัตน์คนนี้มิใช่หรือที่ควงแขนพล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณไปร่วมงานเลี้ยงรุ่น ตท.รุ่น 6 ส่งผลให้งานเกือบล่ม เพราะพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลินผบ.ทบ.และหัวหน้าคณะรัฐประหารเพื่อนร่วมรุ่นพล.อ.ประวิตร หากแต่คนละขั้ว ต้องกลับบ้านก่อนเวลา

คนรุ่นใหม่เค้ามีศักดิ์ศรีพอที่จะไม่ยินยอมถูกกดขี่ คนรุ่นนี้สันหลังตรง ไม่หมอบคลาน แต่สุดารัตน์คุณยังตะแบง "จงรักภักดี"ไม่เลิก คุณรับใช้ทุ่มเทสถาบันฯอย่างเอาเป็นเอาตาย ในขณะที่ประชาชนคนไทยทุกข์เข็ญ ลำเค็ญ ข้าวแทบจะไม่มีกรอกหม้อ คุณนอกจากไม่ใส่ใจเหลียวแลในฐานะเป็นผู้แทนราษฎรแล้ว คุณยังเฉยเมยต่อความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าโดยที่คุณไม่เคยปริปากวิจารณ์

คนรุ่นใหม่เค้ากล้าหาญเสี่ยงตายด้วยความเสียสละ น้องโบว์ จ่านิว ทนายประเวศ และอีกหลายๆคนที่ออกมาต่อสู้เรียกร้องคนพวกนี้มิใช่คนรุ่นใหม่หรือ? คุณเคยอุดหนุนจุนเจือหรืออย่างน้อยให้กำลังใจกับพวกเขาเหล่านี้บ้างหรือยัง คุณไม่มีสิทธิ์แม้แต่คิดที่นำคนรุ่นใหม่

สุดท้ายผมอยากยกตัว อย่างของคนที่อาสาจะมาเป็นผู้แทนราษฎรอย่างคุณธนาธร เขาไม่ต้องรอคสช.ปลดล๊อค ประกาศชัดเจนอยู่ข้างประชาชน และลงพื้นที่ไปฟังปัญหา ทั่วประเทศ ไทย 77 จังหวัด นี่แหละคนรุ่นใหม่ เค้าทำเลยไม่ต้องพูดมาก ไอ้ที่พูดมากอย่างคุณเค้าเรียกว่าตอแหลบวกสร้างภาพครับ นี่แหละที่ผมเรียกวิธีการของคุณนี้ว่า "เต่าล้านปี"

ขอยกตัวอย่างแถมท้ายให้อีกเรื่องก็ได้ เอาคนอาชีพเดียวกับคุณเลย คือคุณนคร มาฉิม ที่ออกมาปกป้องพี่น้องประชาชนด้วยการเปิดโปงทฤษฎีสมคบคิดของกลุ่มขั้วอำนาจอย่างกล้าหาญชาญชัยที่ต้องเสี่ยงตายด้วยความเสียสละเพื่อประชาชน สุดารัตน์คุณอายนักการเมืองรุ่นน้องคนนี้มั้ย ผมถึงได้บอกไว้ข้างต้นว่านักการเมืองอย่างคุณนั้น ห่างไกลกับคนรุ่นใหม่มากนัก คุณอย่าดันทุรังเลยครับ ยิ่งคนบ้านจันทร์ส่องหล้าเค้าก็ไม่เอาคุณด้วยแล้ว...เก็บเนื้อเก็บตัวอย่าออกมาเพ่นพ่าน หาความอัปยศใส่ตัวเลยครับ

อาคม ซิดนี่ย์
10 ก.ย. 61

เปิดงบ ปี 62 "รัฐบาลบิ๊กตู่" กว่า "3ล้านล้าน" รวม 4 ปี กว่าๆ คสช. แตะ "16ล้านล้านบาท"


เนื่องจากนายกรัฐมนตรีดูจะเป็นห่วงและหงุดหงิดกับเรื่องภาระงบประมาณด้านสวัสดิการสังคมของประชาชน แต่ท่านไม่ค่อยพูดภาระงบประมาณด้านสวัสดิการของข้าราชการบ้างเลย


ผมเลยสนใจสืบค้นงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2562 มาดูว่าภาระด้านงบประมาณของประเทศ ด้านสวัสดิการของฝั่งประชาชนและฝั่งข้าราชการ เป็นอย่างไรกันบ้าง

ผมขอเริ่มต้นจากฝั่งประชาชนก่อนแล้วกัน

หนึ่ง กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สำหรับการดูแลรักษาสุขภาพของประชาชนประมาณ “49 ล้านคน” ใช้งบประมาณ 134,269 ล้านบาท

สอง กองทุนประกันสังคม คิดเฉพาะส่วนที่รัฐบาลสมทบเข้ากองทุนทั้งในส่วนของสุขภาพและชราภาพ มีผู้ได้รับประโยชน์ ซึ่งก็คือผู้ประกันตน “14.5 ล้านคน” ใช้งบประมาณ 47,011 ล้านบาท

สาม เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ สำหรับผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี มีผู้ได้รับเบี้ยยังชีพประมาณ “9 ล้านคน” ใช้งบประมาณ 72,469 ล้านบาท

รวมฝั่งประชาชน “53.5 ล้านคน”(รวมจากผู้ใช้กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติและกองทุนประกันสังคม) ใช้งบประมาณรวมกัน 249,359 ล้านบาท

มาถึงฝั่งข้าราชการบ้าง

หนึ่ง งบประมาณค่ารักพยาบาลข้าราชการ (จากกรมบัญชีกลาง) มีผู้ได้รับประโยชน์คือข้าราชการและครอบครัวประมาณ “6 ล้านคน” ใช้งบประมาณ 70,000 ล้านบาท

(หมายเหตุ ลองเทียบจำนวนผู้ได้รับประโยชน์กับงบประมาณของกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติดูครับ กองทุนสปสช. ใช้งบฯ มากกว่า 1 เท่าตัว แต่มีผู้ได้รับประโยชน์จำนวนมากกว่า 8 เท่า)

สอง งบประมาณสมทบเข้ากองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) รวมถึงเงินชดเชย สำหรับสมาชิก กบข. มีผู้ได้รับประโยชน์ “ 1 ล้านคน” ใช้งบประมาณ 54,845 ล้านบาท

สาม งบประมาณเบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญข้าราชการ ที่เป็นข้าราชการบำนาญจำนวน “7 แสนคน” ใช้งบประมาณ 223,762 ล้านบาท

รวมฝั่งข้าราชการ ซึ่งมีผู้ได้รับประโยชน์รวมครอบครัวด้วยประมาณ “ 6 ล้านคน” ใช้ประมาณ 348,607 ล้านบาท มากกว่าฝั่งประชาชนเกือบหนึ่งแสนล้านบาท

ถ้ารวมงบประมาณสวัสดิการทั้งสองฝั่งเข้าด้วยกัน จะเท่ากับ 597,966 ล้านบาท หรือตัวเลขกลมๆ คือ 6 แสนล้านบาท

ซึ่งงบประมาณสวัสดิการของข้าราชการจะเท่ากับ ร้อยละ 58 ของงบประมาณสวัสดิการทั้งหมด (จากจำนวนผู้ได้รับประโยชน์ ไม่ถึงร้อยละ 10 ของประชากรทั้งประเทศ)

จากตัวเลขนี้คงชี้ให้เห็นถึงภาระงบประมาณสวัสดิการของข้าราชการได้เป็นอย่างดี

ส่วนงบประมาณสวัสดิการของประชาชนคิดเป็นร้อยละ 42 ของประมาณสวัสดิการทั้งหมด เท่านั้น ทั้งที่มีจำนวนผู้ที่ใช้บริการมากกว่าถึงเกือบ 9 เท่า

กล่าวได้ว่า เราอยู่ในประเทศที่คนส่วนใหญ่ใช้งบสวัสดิการส่วนน้อยของประเทศ
หวังว่าข้อมูลเบื้องต้นของผม คงเป็นประโยชน์ต่อท่านนายกรัฐมนตรีบ้างครับ

Sunday, September 9, 2018

คุณคิดว่าถึงที่สุดแล้วทรู ซึ่งเป็นบริษัทในเครือซีพี ของตระกูลเจียรวนนท์จะต้องจ่ายค่าปรับ 9.6 หมื่นล้านหรือไม่

📌📌 คุณคิดว่าถึงที่สุดแล้วทรู ซึ่งเป็นบริษัทในเครือซีพี ของตระกูลเจียรวนนท์จะต้องจ่ายค่าปรับ 9.6 หมื่นล้านหรือไม่ นอกจากที่เปรม ติณสูลานนท์ จะเป็นที่ปรึกษากิติมศักดิ์ในเครือซีพีแล้ว ดร.วิชยะ เครืองาม ลูกชายวิษณุ เครืองามก็เป็นผู้เชี่ยวชาญรัฐกิจสัมพันธ์ของทรูด้วย

แถมล่าสุด ดร.วิชชะยังมาช่วยรัฐบาลคณะรัฐประหารมาปฏิรูปกฏหมายด้วย ‘อนุญาโตฯ’ สั่ง ‘ทรู’ ชดใช้ค่าเสียหายให้ทีโอที 9.4หมื่นล้าน
เหตุผิดสัญญาใช้อุปกรณ์

ที่มา : มติชน

มาดูการสร้างข้อกล่าวหาคนบริสุทธิ์ ของเผด็จการ เพื่อกลบกระแสการโกงก่อสร้าง อุทยานราชภัฎ ปี 2558


ข้อกล่าวหาที่เป็นเท็จ ที่นำไปสู่การออกหมายจับ แม้กระทั่งคนที่ติดคุกอยู่ในเรือนจำ

ประมวลเหตุการณ์คดีผู้ต้องหาวางแผนป่วนกิจกรรม Bike for Dad





ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนได้ติดตามคดีผู้ต้องหาวางแผนป่วนกิจกรรม Bike for Dad จากกลุ่มนักกฎหมายอาสาเพื่อสิทธิมนุษยชน (กนส.) ซึ่งเป็นทนายความในคดีดังกล่าว พบว่าผู้ต้องหาบางรายร้องเรียนว่าถูกทรมานขณะสอบสวน และถูกบังคับให้รับสารภาพ ทั้งยังถูกปิดกั้นสิทธิในการเข้าถึงทนายความ ไปจนถึงมีการละเมิดสิทธิเสรีภาพของทนายความ โดยกักตัวทนายความไว้ภายในเรือนจำชั่วคราวแขวงถนนนครไชยศรีซึ่งตั้งอยู่ภายใน มทบ.11 ที่ประชาชนทั่วไปไม่สามารถตรวจสอบได้

ภาพรวมสถานการณ์ในคดีนี้นั้นสุ่มเสี่ยงต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนตามอนุสัญญาต่อต้านการทรมาน และการประติบัติที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรมหรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี การละเมิดสิทธิในการได้รับการพิจารณาคดีที่เป็นธรรมตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ซึ่งรัฐมีหน้าที่ไม่ละเมิดและต้องประกันสิทธิเสรีภาพดังกล่าว รวมถึงมีหน้าที่ในการสอบสวนโดยพลันเมื่อได้รับข้อร้องเรียน  ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนเห็นว่าสื่อมวลชน และองค์กรระหว่างประเทศควรติดตามคดีดังกล่าวอย่างใกล้ชิด

สรุปข้อมูล ณ วันที่ 3 ธ.ค. 58 คดีนี้มีการออกหมายจับผู้ต้องหาทั้งหมด 9 ราย ในข้อหาร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์, นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จ โดยมีพฤติการณ์ในการวางแผนสร้างสถานการณ์ปั่นป่วนในหลายพื้นที่ และเตรียมประทุษร้ายบุคคลสำคัญทางการเมือง 2 คนผ่านสื่อสังคมออนไลน์ โดยผู้ต้องหา 5 ราย ถูกจับและควบคุมตัวในเรือนจำชั่วคราวแขวงถนนนครไชยศรีแล้ว อีก 1 ราย อยู่ในเรือนจำจังหวัดขอนแก่นก่อนหน้าการออกหมายจับ ขณะที่อีก 3 รายยังหลบหนี อย่างไรก็ตามผู้ต้องหา  1 ใน 5 ราย ที่ถูกคุมขังในเรือนจำชั่วคราวนี้ เจ้าหน้าที่ได้ปล่อยกลับบ้านแล้ว และจับฝาแฝดผู้ต้องหาดังกล่าวมาแทน (คาดว่าเป็นการจับผิดตัว) โดยยังไม่ปรากฏว่าผู้ที่ถูกจับกุมตัวมาใหม่นั้นถูกคุมขังอยู่ที่ใด

ลำดับเหตุการณ์เกี่ยวกับคดี

  • 21 พ.ย. 58 ประมาณ 00 น. เจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบซึ่งส่วนหนึ่งเป็นทหารจาก กกล.รส.จว.ขอนแก่น ประมาณ 10 นาย นั่งรถตู้ติดฟิล์มกรองแสงเข้าไปที่บ้านพักของ จ.ส.ต.ประธิน จันทร์เกศ หนึ่งในจำเลยคดีขอนแก่นโมเดล และพูดคุยอยู่เป็นเวลานาน ก่อนควบคุมตัว จ.ส.ต.ประธิน ขึ้นรถออกไป โดยแจ้งว่าจะพาไปค่ายศรีพัชรินทร (มทบ.23) ใช้เวลาไม่นาน แล้วจะพากลับมาส่ง

  • 24 พ.ย. 58 หน่วยงานความมั่นคงรายงานว่า อดีต ตชด. (จ.ส.ต.ประธิน) ที่ถูกควบคุมตัวพร้อมพยานหลักฐานการสนทนาทางไลน์และสมุดบันทึก ยอมรับว่า เตรียมการสร้างสถานการณ์ปั่นป่วนในหลายพื้นที่ และเตรียมประทุษร้ายบุคคลสำคัญทางการเมือง 2 คน จึงมอบหมายให้ พล.ต.วิจารณ์ จดแตง หัวหน้าฝ่ายกฎหมายของ คสช. เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปราม ให้ดำเนินคดีกับ จ.ส.ต.ประธิน จันทร์เกศ อายุ 60 ปี มีภูมิลำเนาอยู่ จ.ขอนแก่น, นายพิษณุ พรหมสร อายุ 58 ปี มีภูมิลำเนาอยู่ จ.เชียงใหม่ และนายณัฐพล ณ.วรรณ์เล อายุ 26 ปี มีภูมิลำเนาอยู่ จ.ขอนแก่น ในคดีความผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 จากนั้น พนักงานสอบสวน กองบังคับการกองปราบปราม ได้ยื่นคำร้องต่อศาลทหารกรุงเทพ เพื่อขอออกหมายจับผู้ต้องหาทั้ง 3 คนดังกล่าว

  • 25 พ.ย. 58 พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ออกคำสั่ง ตร. ที่ 682/2558 แต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ที่มี พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. เป็นหัวหน้า ร่วมกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของทหาร สืบสวนสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานจนเป็นที่แน่ชัดและเชื่อได้ว่า มีกลุ่มบุคคลร่วมกระทำความผิดรวม 9 คน จึงได้ขออนุมัติหมายจับจากศาลทหารกรุงเทพ ในข้อหาร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จ

  • 26 พ.ย. 58 เจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวผู้ต้องหา 2 ราย คือ จ.ส.ต.ประธิน จันทร์เกศ และนายณัฐพล ณ วรรณ์เล มาแถลงข่าวการจับกุม พร้อมระบุว่าทั้ง 2 คน รวมทั้งพวกที่ถูกออกหมายจับและอยู่ระหว่างติดตามจับกุมตัวอีก 7 คน เป็นขบวนการที่เตรียมก่อเหตุป่วนงานสำคัญในกรุงเทพ และมีความต้องการจะลอบประทุษร้ายบุคคลสำคัญในรัฐบาล 2 คน ก่อนนำตัวผู้ต้องหาทั้งสองไปฝากขังที่ศาลทหาร และควบคุมตัวที่เรือนจำชั่วคราวใน มทบ.11 ทั้งนี้ ก่อนหน้าการแถลงข่าว เจ้าหน้าที่ทหารควบคุมตัวทั้งคู่เพื่อสอบสวนในค่ายทหารตั้งแต่วันที่ 21 และ 23 พ.ย.58 ตามลำดับ

  • 27 พ.ย. 58 เจ้าหน้าที่นำตัวนายวัลลภ บุญจันทร์ และนายพาหิรัณ กองคำ มาฝากขังที่ศาลทหารกรุงเทพ โดยเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวมาจากบ้านพักที่จังหวัดขอนแก่น และบึงกาฬตามลำดับ ก่อนนำตัวขึ้นรถมากรุงเทพฯ จากนั้น เจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้งสองไปขังไว้ที่เรือนจำชั่วคราวฯ

  • 28 พ.ย.58 เบญจรัตน์ มีเทียน ทนายความของผู้ต้องหาในคดีนี้ให้สัมภาษณ์ยืนยันว่า ปัจจุบันนายธนกฤต ทองเงินเพิ่ม ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำจังหวัดขอนแก่น จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีส่วนเกี่ยวพันกับข้อกล่าวหาในคดีร้ายแรง

  • 29 พ.ย.58 นายฉัตรชัย ศรีวงษา ถูกจับกุมได้เป็นรายที่ห้า โดยถูกนำตัวจากจังหวัดขอนแก่นมาควบคุมตัวที่กองปราบปราม

  • 30 พ.ย.58 นายฉัตรชัย ศรีวงษา ถูกนำตัวมาฝากขังครั้งที่ 1 ต่อศาลทหารเป็นเวลา 12 วันแล้ว ส่วนผู้ต้องหาที่ยังหลบหนีมี นายพิษณุ พรหมสร นายมีชัย ม่วงมนตรี นายวีรชัย ชาบุญมี

  • 2 ธ.ค.58 เจ้าหน้าที่จับกุมตัวนายฉัตรชนก ศรีวงษา ฝาแฝดของนายฉัตรชัย ศรีวงษา ที่จังหวัดขอนแก่น ต่อมาญาติแจ้งทนายความว่า เจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวนายฉัตรชัยกลับมาส่งที่บ้านในจังหวัดขอนแก่นแล้ว แต่ยังไม่ทราบว่านายฉัตรชนกถูกควบคุมตัวอยู่ที่ใด


ข้อเท็จจริงทนายความเบญจรัตน์ มีเทียน

การแจ้งความดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในการออกหมายจับผู้ต้องขัง

  • 29 พ.ย.58 ทนายความเบญจรัตน์ มีเทียน แจ้งความต่อพนักงานสอบสวน กองกับการ 3 กองปราบปราม ให้ดำเนินคดีกับพล.ต.วิจารณ์ จดแตง ในฐานะหัวหน้าส่วนปฏิบัติการ คณะทำงานกฎหมาย คสช. พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานหมิ่นเบื้องสูง พร้อมคณะ โดยกล่าวหาว่า กระทำผิดละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา และแจ้งความเท็จ จากกรณีที่มีการแถลงจับผู้ต้องหาเครือข่ายขอนแก่นโมเดล ซึ่งมีรายชื่อนายธนกฤต ทองเงินเพิ่ม เป็น 1 ในผู้ต้องหา ซึ่งข้อเท็จจริงคือ นายธนกฤต ยังอยู่ในเรือนจำขอนแก่นจากคดีอื่น จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมากระทำผิด ตามที่มีการแถลงข่าว

  • หลังจากเข้าแจ้งความ ช่วงค่ำ ตำรวจกองปราบได้โทรศัพท์หาทนายความเบญจรัตน์ให้เข้าไปแก้ไขเอกสารและให้การเพิ่มเติมที่กองปราบ แต่ทนายความเบญจรัตน์ปฏิเสธ โดยบอกว่าจะเข้าไปดำเนินการเมื่อมีเวลาว่าง เจ้าหน้าที่โทรมาอีกเกือบ 10 ครั้ง บอกว่าจะมาพบที่บ้านเพื่อดำเนินการในเรื่องดังกล่าว แต่ทนายความเบญจรัตน์ก็ปฏิเสธไปอีก


การละเมิดสิทธิในการเข้าถึงทนายความ การคุกคาม และการจำกัดเสรีภาพทนายความ

  • 30 พ.ย.58 ช่วงเช้าทนายความเบญจรัตน์เข้าไปพบผู้ต้องหาในคดีนี้ ที่เรือนจำชั่วคราวฯ เพื่อสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้น โดยผู้ต้องหาที่แต่งตั้งให้ทนายความเบญจรัตน์เป็นทนายความมี 4 คน คือ ประธิน จันทร์เกศ, พาหิรัณ กองคำ, วัลลภ บุญจันทร์ และฉัตรชัย ศรีวงษา เจ้าหน้าที่อนุญาตให้เข้าเยี่ยม แต่ไม่ให้เอาโทรศัพท์เข้าไปด้วย อย่างไรก็ตาม มีผู้ต้องหาเพียง 3 คน ยกเว้นประธินที่ออกมาพบทนายความเบญจรัตน์ ทนายความเบญจรัตน์สอบข้อเท็จจริงเบื้องต้นผู้ต้องหาทั้งสาม โดยมีเจ้าหน้าที่ทหารนั่งฟังอยู่ด้วยตลอดเวลา

  • หลังจากผู้ต้องหาทั้งสามกลับเข้าที่คุมขัง ทหารที่เฝ้าอยู่ซึ่งมียศร้อยเอก และลูกน้องอีก 2 คน ได้แจ้งให้ทนายความเบญจรัตน์รอประธินออกมา ทนายความเบญจรัตน์นั่งรออยู่นานจนถึงประมาณ 00 น. จึงบอกทหารว่า จะออกไปศาล เนื่องจากมีนัดที่ศาลเวลา 13.30 น. แต่ทหารได้ล็อคประตูห้อง และบอกให้ทนายความเบญจรัตน์อยู่พบนายก่อน ทนายความเบญจรัตน์รอถึงประมาณ 12.30 น. จึงได้เจรจาขอไปทำหน้าที่ก่อน แต่ทหารก็ยืนกรานว่า ไปไม่ได้ นายสั่งไม่ให้ไปไหน จนกระทั่ง ตำรวจจากกองปราบ 2 คน (หญิง 1 คน ชาย 1 คน) มาตาม ทนายความเบญจรัตน์ให้เข้าไปยังกองปราบได้มาคุยกับทหาร ทหารจึงได้ให้ทนายความเบญจรัตน์ออกมา โดยทนายความเบญจรัตน์ได้ขอไปศาลก่อน ตำรวจหญิงจึงนั่งรถมากับทนายความเบญจรัตน์ด้วย โดยตำรวจอีกคนขับรถตามหลังมา ตำรวจหญิงได้ตามทนายความเบญจรัตน์เข้าไปที่ศาลด้วย โดยนั่งเฝ้าอยู่หน้าห้องพิจารณา

  • เมื่อทนายความเบญจรัตน์ออกจากศาลประมาณ 00 น. ตำรวจได้เอาบันทึกมาให้เซ็น ซึ่งระบุว่า ทนายความเบญจรัตน์เดินทางไปกองปราบด้วยความสมัครใจ ทนายความเบญจรัตน์ให้ข้อมูลว่า อยู่ที่กองปราบจนถึงประมาณ 21.00 น. โดยเรื่องที่ให้ปากคำและแก้ไขเอกสารก็ไม่ได้มีอะไรมาก ทนายความเบญจรัตน์จึงถามไปตรงๆ ว่า ต้องการอะไรกันแน่ พนักงานสอบสวน เจ้าของสำนวนจึงบอกว่า นายอยากให้ถอนคดี แต่ทนายความเบญจรัตน์ปฏิเสธไปว่า ถอนไม่ได้

  • 2 ธ.ค.58 ทนายความเบญจรัตน์ให้ข้อมูลว่า ผู้บัญชาการเรือนจำจังหวัดขอนแก่นได้แจ้งมาว่า ธนกฤต ทองเงินเพิ่ม ได้เซ็นเอกสารถอนแจ้งความเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง กรณีที่ออกหมายจับเขาทั้งที่เขาอยู่ในเรือนจำ ไม่มีโอกาสกระทำความผิดตามที่กล่าวหา ทั้งนี้ เมื่อทนายความเข้าพบธนกฤต เขาได้ให้ข้อมูลว่า เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. 58 เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจจำนวนหนึ่งได้เข้าไปพบเขาที่เรือนจำ และให้เขาเซ็นถอนแจ้งความ โดยเสนอที่จะถอนหมายจับเขาเป็นการแลกเปลี่ยน


ข้อเท็จจริงจากทนายความวิญญัติ ชาติมนตรี

การปฏิเสธสิทธิในการเข้าถึงทนายความ

  • 26 พ.ย.58 หลังจากทราบว่าจ่าสิบตำรวจ ประธิน จันทร์เกศ และนายณัฐพล ณ วรรณ์เล ถูกนำตัวไปฝากขังยังศาลทหารกรุงเทพ ทนายความวิญญัติจากกลุ่มนักกฎหมายอาสาเพื่อสิทธิมนุษยชน ได้ตามไปเพื่อร่วมกระบวนการคัดค้านการฝากขัง แต่เจ้าหน้าที่ศาลปฏิเสธไม่ให้ทนายความเข้าถึงผู้ต้องหาได้ แม้ผู้ต้องหาจะยืนยันว่าทนายความวิญญัติเป็นทนายความของตนเอง โดยเจ้าหน้าที่อ้างว่าศาลยังไม่ได้แต่งเป็นทนายความในคดี จนกระทั่งเมื่อศาลไต่สวนการฝากขัง ทนายความขออนุญาตศาลคุยกับผู้ต้องหาก่อนการไต่สวน แต่ศาลไม่อนุญาต ทำให้ทนายความแถลงคัดค้านได้เพียงข้อกฎหมาย เนื่องจากไม่ได้รับอนุญาตให้คุยกับผู้ต้องหา หลังจากศาลออกจากห้องพิจารณาไปแล้ว ทนายความจึงได้คุยกับผู้ต้องหาเพียงไม่กี่นาที ก่อนที่ผู้ต้องหาจะถูกนำตัวไปยังเรือนจำชั่วคราวแขวงถนนนครไชยศรี

  • 27 พ.ย.58 ทนายความวิญญัติเข้าเยี่ยมผู้ต้องขังสองราย (การเข้าเยี่ยมจำเป็นต้องเป็นทนายความที่ได้ยื่นใบแต่งทนายความในคดีต่อศาลทหารแล้วเท่านั้น) ได้พูดคุยเป็นระยะเวลากว่าสองชั่วโมง โดยมีเจ้าหน้าที่ทหารร่วมรับฟังการพูดคุยอยู่ตลอดระยะเวลา ทั้งนี้ อาคารที่จัดให้พบแยกต่างหากจากอาคารที่ควบคุมตัว มีข้อสังเกตว่าผู้ต้องขังถูกใส่กุญแจข้อมือและเท้า และถูกปิดตาในระหว่างทางที่ถูกนำตัวมาจากสถานที่คุมขัง โดยมีเจ้าหน้าที่ทหารควบคุมตัวมาโดยรถยนต์

  • 30 พ.ย. 58 ทนายความวิญญัติมีนัดหมายกับทนายความเบญจรัตน์ในการเข้าเยี่ยมผู้ต้องขังภายในเรือนจำมทบ.11 โดยทนายความเบญจรัตน์ได้เข้าไปในเรือนจำก่อน ทนายความวิญญัติตามเข้าไปเวลาประมาณ 00 น. โดยที่ไม่สามารถติดต่อทนายความเบญจรัตน์ทางโทรศัพท์ได้ เจ้าหน้าที่แจ้งว่าทนายความเบญจรัตน์พบลูกความอยู่อีกห้องหนึ่ง ทนายความวิญญัติจึงขอเข้าพบลูกความด้วยเช่นกัน แต่ได้รับการปฏิเสธว่าต้องรอก่อน ทนายความวิญญัติรอจนกระทั่งถึงเวลาเที่ยงก็ไม่ได้พบผู้ต้องหา ระหว่างเวลาดังกล่าว ทนายความวิญญัติได้ขอออกไปนอกห้องและขอใช้โทรศัพท์แต่ถูกปฏิเสธ โดยทนายความวิญญัติสังเกตว่ามีเจ้าหน้าที่ทหารยืนเฝ้าหน้าห้องอยู่สองคน

  • ในช่วงบ่ายทนายความวิญญัติจึงได้พบผู้ต้องหาทั้งสองราย แต่ได้พบเพียงประมาณห้านาที และมีเจ้าหน้าที่ทหารอยู่ระหว่างการพูดคุยตลอด หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ได้นำตัวผู้ต้องหากลับไป และหัวหน้าเรือนจำซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้เข้ามาคุย โดยขอให้ทนายความวิญญัติกลับไปก่อน เนื่องจากสถานการณ์ไม่แน่นอนและฝ่ายความมั่นคงไม่อนุญาตให้พูดคุยต่อ


ข้อร้องเรียนว่ามีการทรมาน

  • ทั้งนี้ ทนายความวิญญัติได้ให้ข้อมูลว่า นายประธินได้ถูกควบคุมตัวในวันที่ 21 พ.ย.58 โดยถูกนำตัวไปคุมขังในค่ายทหารแห่งหนึ่ง (คาดว่ายังเป็นค่ายทหารในจังหวัดขอนแก่น สังเกตจากระยะเวลาในการเดินทาง) เป็นเวลาประมาณ 2 วัน ก่อนถูกนำตัวมายังค่ายทหารในกรุงเทพมหานคร (นายประธินคาดว่าเป็นมทบ.11 แต่ไม่สามารถยืนยันได้ เนื่องจากถูกปิดตาในระหว่างการย้ายที่คุมขัง จะเปิดตาเมื่อทานข้าวและอยู่ในที่คุมขังแล้วเท่านั้น) หลังจากมาถึงค่ายทหารในกรุงเทพมหานคร นายประธินได้ถูกสอบสวนโดยเจ้าหน้าที่ทหารนอกเครื่องแบบหลายชุด โดยมีเจ้าหน้าที่หนึ่งชุดทำการสอบสวนโดยข่มขู่ให้รับสารภาพ เมื่อนายประธินปฏิเสธว่าตนไม่ได้กระทำความผิดจะถูกเตะที่ขาด้านขวา และถูกตบที่ใบหน้า ในระหว่างการสอบสวนเจ้าหน้าที่ไม่ได้ปิดบังใบหน้า แต่นายประธินก็ไม่รู้จักเจ้าหน้าที่และไม่สามารถจดจำใบหน้าได้ที่มา : https://tlhr2014.wordpress.com/2015/12/03/bike-for-dad-112-military-prison/


ทนายจำเลย ‘ขอนแก่นโมเดล’ แถลงศาล ถูกทหารคุกคาม วิญญัติยังเผยถูกติดตามมาตลอด 4 ปี


04/09/201828-29 ส.ค. 61 ที่ศาลมณฑลทหารบกที่ 23 (มทบ.23) จ.ขอนแก่น มีการสืบพยานโจทก์ในคดีขอนแก่นโมเดล ซึ่งอัยการศาล มทบ.23 เป็นโจทก์ฟ้อง จ.ส.ต.ประธิน จันทร์เกศ กับพวกรวม 26 คน  ในความผิดฐานร่วมกันขัดประกาศ คสช. ฉบับที่ 7/2557 เรื่องห้ามชุมนุมทางการเมือง, ร่วมกันตระเตรียมก่อการร้าย, เป็นซ่องโจร, มีอาวุธปืนและวัตถุระเบิดไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต, พกพาอาวุธปืนไปในทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต, มีเครื่องยุทธภัณฑ์ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และมีเครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต จากกรณีการเข้าตรวจค้นจับกุมกลุ่มผู้ต้องสงสัยในจังหวัดขอนแก่นหลัง คสช.เข้ายึดอำนาจ เพียง 1 วัน โดยกองทัพภาคที่ 2 แถลงข่าวว่า กลุ่มดังกล่าวเป็นผู้ไม่หวังดีที่เตรียมออกปฏิบัติการ “ขอนแก่นโมเดล” ในลักษณะกวนเมืองขอนแก่น




นัดนี้โจทก์นำ พ.ต.สรเชษฐ ดีเอื้อ รองผู้บังคับการกองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 13 ช่วยราชการสำนักงานรองแม่ทัพภาค 2 กองบัญชาการกองทัพภาคที่ 2 อ.เมือง จ.นครราชสีมา ขณะเกิดเหตุ รับราชการในตำแหน่งผู้บังคับกองร้อยลาดตระเวนและเฝ้าตรวจ กรมทหารราบที่ 8 (ร.8) เกี่ยวข้องกับคดีนี้โดยได้รับมอบหมายจาก พ.อ.ชาญชัย เอมอ่อน ผบ.ร.8 ให้ดูแลวัตถุพยานและเอกสารที่ตรวจค้นได้ที่โรงแรมชลพฤกษ์เลคไซด์



ที่มาภาพ เฟซบุ๊ค วิญญัติ ชาติมนตรี

นับว่า พ.ต.สรเชษฐ เป็นพยานโจทก์ที่เข้าเบิกความเป็นปากที่ 7 ของคดีนี้ หลังจำเลยถูกจับกุมดำเนินคดีเป็นเวลากว่า 4 ปี โดยกระบวนการสืบพยาน ซึ่งเริ่มสืบพยานโจทก์ปากแรกในวันที่ 28 ต.ค. 59 ผ่านไปเกือบสองปี เสร็จสิ้นไปเพียง 5 ปาก คือ พ.อ.ชาญชัย เอมอ่อน ผบ.ร.8 และ ผบ.ฉก.ร.8 ผู้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นจับกุมจำเลยในคดีนี้ อีก 4 ปาก เป็นเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจำเลยที่ 1 และตรวจยึดของกลางที่ธนาคารแห่งประเทศไทย สาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนพยานโจทก์ปากที่ 6 คือ พ.ต.วิชญะ สืบนุช หัวหน้าชุดเคลื่อนที่เร็วที่นำกำลังเข้าตรวจค้นจับกุมที่โรงแรมชลพฤกษ์ เข้าเบิกความเสร็จแล้ว เช่นเดียวกับ พ.ต.สรเชษฐ แต่ทนายจำเลยยังไม่ได้ถามค้าน เนื่องจากทั้งสองพยานเป็นชุดจับกุมจำเลย 21 ราย ที่โรงแรมชลพฤกษ์ในช่วงเย็นวันที่ 23 พ.ค. 57 ซึ่งเจ้าหน้าที่ชุดดังกล่าว โจทก์จะนำเข้าเบิกความเป็นพยานจำนวนทั้งสิ้น 8 ปาก ถือเป็นพยานคู่ในเหตุการณ์เดียวกัน ทนายจำเลยจึงขอถามค้านหลังการเบิกความของพยานคู่ชุดดังกล่าวแล้วเสร็จทุกปาก

ระหว่างการเบิกความของ พ.ต.สรเชษฐ์ โจทก์ได้อ้างส่งกระดาษเขียนข่าวของ ผบ.ร.8 ลงวันที่ 23 พ.ค. 57 ศาลรับไว้ ต่อมา ทนายจำเลยแถลงคัดค้านการอ้างส่งเอกสารดังกล่าวของโจทก์ เนื่องจากบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำเอกสารดังกล่าว คือ พ.อ.ชาญชัย เอมอ่อน แต่โจทก์ไม่ได้นำเอกสารดังกล่าวมาถามเมื่อครั้งที่ พ.อ.ชาญชัย เข้าเบิกความ ทนายจำเลยจึงไม่มีโอกาสถามค้าน พ.อ.ชาญชัย เกี่ยวกับเอกสารดังกล่าว ทำให้จำเลยเสียเปรียบ จึงถือเป็นการอ้างส่งพยานเอกสารที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

นอกจากนี้ จ.ส.ต.ประธิน จันทร์เกศ จำเลยที่ 1 ได้ขอแถลงเรื่องที่ตนเองไม่ได้ประกันตัว ปัจจุบันครอบครัวประสบปัญหา จำเลยอยากได้รับการประกันตัวออกไปแก้ไขปัญหาครอบครัว ศาลชี้แจงว่า คดีนี้ศาลยินดีให้ประกันตัวเช่นเดียวกับจำเลยคนอื่น ๆ แต่จำเลยที่ 1 ถูกควบคุมตัวในคดีหมิ่นพระมหากษัตริย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ด้วย ซึ่งคดีนั้นศาลไม่อนุญาตให้ประกัน หากทนายจำเลยดำเนินการยื่นประกันตัวจำเลยในคดี 112 และศาลอนุญาต ก็มายื่นประกันในคดีนี้ ซึ่งศาลไม่มีเหตุให้ต้องควบคุมตัวจำเลยในคดีนี้ไว้

ศาล มทบ.23 นัดสืบพยานโจทก์ในคดีนี้อีก 2 ปาก ในวันที่ 10 ต.ค. 61 และกำหนดวันนัดสืบพยานล่วงหน้าอีก 2 นัด คือ วันที่ 6 พ.ย. และ 14 ธ.ค. 61

ทนาย สกสส. แถลงศาล ถูกทหารฝ่ายข่าวคุกคาม

ในระหว่างการสืบพยานในวันที่ 29 ส.ค. 61 ทนายจำเลยจากสมาพันธ์นักกฎหมายเพื่อสิทธิเสรีภาพ (สกสส.) ได้แถลงต่อศาลว่า มีทหารฝ่ายข่าวเข้ามาในศาล ถ่ายรูปทนายจำเลย และทะเบียนรถของทนายจำเลยทุกคัน ทำให้ทนายจำเลยเกิดความกังวล และถือเป็นการคุกคามการทำหน้าที่ของทนายจำเลย รวมทั้งอาจจะเป็นการละเมิดอำนาจศาลหรือไม่

หลังการรับฟังทนายจำเลยแถลง ศาลกล่าวว่า ถ้าทนายจำเลยกังวล ศาลจะแจ้งให้เจ้าหน้าที่ศาลดูแล แต่ถ้าทนายอยากให้เป็นทางการให้ทำคำร้องยื่นมา ศาลจะไต่สวนว่าจะตั้งเรื่องละเมิดอำนาจศาลหรือไม่ แต่ขอให้ทนายจำเลยเข้าใจเบื้องต้นว่า ศาลก็อยู่ใน มทบ.23 ซึ่ง มทบ.23 ก็มีระเบียบรักษาความปลอดภัย

วิญญัติ ชาติมนตรี เลขาธิการ สกสส.ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการติดตามคุกคามทนายจำเลยจาก สกสส. ซึ่งทำหน้าที่เป็นทนายให้จำเลยในคดีขอนแก่นโมเดลจำนวน 15 ราย ว่า “การที่ทหารฝ่ายข่าวมาติดตามเพื่อหาข่าวและเก็บข้อมูลที่เป็นภาพถ่ายของเรา ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก แต่มันเกิดขึ้นตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา เราเคยแถลงในห้องพิจารณาไปแล้วครั้งหนึ่งเมื่อสองปีก่อน ตุลาการท่านแรกที่เคยเป็นตุลาการพิจารณาคดีนี้ ท่านก็จดในรายงานกระบวนพิจารณา พร้อมกับมีกระบวนการภายใน ทำให้การมาถ่ายภาพเราลดลง”

ทนายจำเลยขอนแก่นโมเดลกล่าวต่อไปอีกว่า “แต่ช่วงหลังมานี้ก็เกิดขึ้นอีก มีการตามถ่ายภาพในที่ต่างๆ ทั้งนอกและในค่ายทหาร มีรถสะกดรอย ตามไปที่พักก็เคยเห็น มีการถ่ายรูปบริเวณข้างศาลทหาร ซึ่งไม่ได้ขออนุญาตก่อน รวมทั้งแอบถ่าย และตามถ่ายภาพทะเบียนรถทุกคันที่เป็นของเรา วิธีการเหล่านี้ เราถือว่าเป็นการข่มขู่คุกคาม ทำให้เกิดความวิตกกังวลถึงความไม่ปลอดภัยในชีวิตร่างกายหรือเสรีภาพ ไม่ใช่เป็นการหาข่าวปกติ ถ้าจะอ้างว่า เป็นบริเวณค่ายทหารซึ่งจะต้องมีมาตรการรักษาความปลอดภัย แต่ในค่ายก็มีวงจรปิดอยู่แล้ว และเราก็ต้องแลกบัตรก่อนเข้า ยิ่งไปกว่านั้นบริเวณบางส่วนเป็นบริเวณศาลทหาร  ซึ่งถ้าทำในลักษณะนี้ได้ก็หมายความว่า ศาลทหารกับค่ายทหารคืออันเดียวกันใช่หรือไม่”

วิญญัติเห็นว่า “มันเป็นเรื่องที่ไม่ถูก คุณต้องให้เกียรติกระบวนการยุติธรรม เรามาในฐานะของทนายความ ไม่ได้มาในฐานะเป็นศัตรูกับทหาร หรือเป็นอริราชศัตรูของใคร ฉะนั้น ในบริเวณศาลคุณต้องยุติ ไม่ควรทำแบบนี้ วันนั้นเราจึงแถลงให้ศาลรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้น เพื่อทำให้ศาลเห็นว่า ถ้าเอาประชาชนขึ้นสู่กระบวนการยุติธรรมของศาลทหาร ศาลทหารต้องสามารถใช้อำนาจปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชนที่ขึ้นศาลและปกป้องการทำหน้าที่ของทนายความได้ ไม่ใช่ให้ไปอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของผู้บัญชาการค่าย หรือหัวหน้า กอ.รมน. แต่ผมก็ผิดหวังที่วันนั้นยังไม่เกิดกระบวนการที่เหมาะสม ศาลไม่ได้จดในรายงานกระบวนพิจารณาเหมือนคราวก่อน ซึ่งอาจกระทบต่อความเป็นอิสระและเป็นกลางของศาลทหารได้ หากเป็นในศาลยุติธรรมเชื่อว่าจะมีวิธีการหรือข้อกำหนดที่ชัดเจนกว่านี้ในการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของทนายความและประชาชน”



ทนายวิญญัติคาดสืบพยานอีก 4 ปี 

คสช. เข้ายึดอำนาจมากว่า 4 ปี คดีขอนแก่นโมเดลก็ดำเนินมากว่า 4 ปีแล้วเช่นกัน ในฐานะทนายของจำเลยที่รับรู้กระบวนการมาตลอดตั้งแต่ในชั้นสอบสวนและชั้นศาล ทนายวิญญัติคาดหมายว่า คดีนี้จะใช้เวลาอีกไม่ต่ำกว่า 4 ปี ในการสืบพยาน “จากกระบวนการและเทคนิคการว่าความของฝ่ายอัยการทหาร ซึ่งเป็นไปอย่างล่าช้า และการที่พยานฝ่ายโจทก์ยังเหลืออีกไม่ต่ำกว่า 50 ปาก ซึ่งโจทก์ยืนยันว่าจะไม่ตัดพยานเลย หรือตัดน้อย เชื่อว่า เฉพาะพยานฝ่ายโจทก์ก็คงจะสืบไปอีก 3-4 ปี ฝ่ายจำเลยน่าจะใช้เวลาไม่นาน”

ดูเหมือนศาล มทบ.23 ก็คาดหมายได้เช่นเดียวกัน และพยายามจะเร่งให้กระบวนการพิจารณาคดีเร็วขึ้น โดยเพิ่มวันนัดเป็นเดือนละ 2 นัด ต่อเนื่องกัน หลังจาก 2 ปีที่ผ่านมานัดหมายเพียงเดือนละ 1 นัด บางเดือนที่คู่ความและศาลไม่มีวันว่างตรงกัน ก็ไม่มีการนัด โดยเฉพาะในปี 2561 นี้ มีการเปลี่ยนรอบการหมุนเวียนปฏิบัติหน้าที่ของตุลาการ 2 คน ที่ทำหน้าที่หลักในการพิจารณาคดีในศาล มทบ.23 จากที่เข้าปฏิบัติหน้าที่สลับกันคนละครึ่งเดือน เปลี่ยนเป็นสลับกันคนละเดือน ทำให้การนัดหมายคู่ความเพื่อสืบพยานโจทก์ต้องนัดเดือนเว้นเดือน ตามเวลาที่ตุลาการที่รับผิดชอบสำนวนคดีเข้าปฏิบัติหน้าที่ในศาล มทบ.23 นี้

อย่างไรก็ตาม การเพิ่มวันนัดเป็นนัดทุกเดือน ๆ ละ 2 นัด ดังกล่าว เท่ากับเป็นการให้ตุลาการอีกท่านที่ไม่ได้รับผิดชอบสำนวนทำการสืบพยานด้วย โดยสลับกันคนละเดือน ซึ่งทีมทนาย สกสส. มีความเห็นว่า “การให้ตุลาการท่านอื่นมานั่งเสริม และเพิ่มวันนัดมากขึ้น ถามว่า ศาลเอื้อให้กระบวนการพิจารณาเร็วขึ้นหรือไม่ มันก็ไม่เชิงเป็นแบบนั้นตรงๆ นัก เพราะตุลาการท่านอื่นที่มานั่งเสริม ไม่ได้เป็นผู้รับผิดชอบสำนวน รายละเอียดของสำนวนเป็นอย่างไรก็อาจจะไม่รู้ หรือไม่เข้าใจ หรืออาจจะไม่อยากบันทึกในบางครั้ง รวมถึงสุดท้ายตุลาการท่านที่มานั่งเสริมก็ไม่ได้เป็นองค์คณะผู้ตัดสิน ซึ่งโดยกระบวนการยุติธรรมมันไม่ควรจะเกิดขึ้น”

ในส่วนของจำเลยเห็นว่า การนัดเดือนละ 2 วัน ต่อเนื่องกัน เป็นการเพิ่มภาระให้พวกเขา เนื่องจากจำเลยส่วนใหญ่ไม่ได้อยู่ในจังหวัดขอนแก่น จึงต้องมีค่าที่พักและค่าใช้จ่ายในการกินอยู่เพิ่มขึ้นมา การสืบพยานในนัดนี้ จำเลย 5 ราย จึงลุกขึ้นแถลงต่อศาล และขอให้ศาลนัดสืบพยานเดือนละ 1 วัน

กระบวนการพิจารณาคดีที่ล่าช้า = ไม่เป็นธรรม

ทนายวิญญัติ ยังได้บอกเล่าถึงมุมมองของเขาต่อจำเลยในคดีขอนแก่นโมเดลในประเด็นความไม่เป็นธรรมที่พวกเขาได้รับตลอดระยะเวลากว่า 4 ปีที่ถูกดำเนินคดี “ตั้งแต่แรกแล้ว ชาวบ้านบางคนเสมือนถูกหลอกให้มาเป็นจำเลย เช่น เด่นชัย และกัลยรักษ์ ทหารอ้างว่าขอเชิญตัวไปให้ข้อมูล ไปปรับทัศนคติ ทั้งที่เขาไม่มีอะไร อย่างเด่นชัยทำชมรมฌาปนกิจ หลังจากเชิญไปให้ข้อมูลก็เอาข้อมูลไปออกหมายจับมาจับเขา อย่างนี้ไม่เป็นธรรม บางคนถูกจับในภายหลังแล้วเอาเข้ามารวมในคดีเดียวกัน โดยที่พฤติการณ์ไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลย เช่น ไปจับคมสัน อ้างว่าเขามีอาวุธ ซึ่งเขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับกลุ่มนี้

เข้าใจว่าสิ่งที่ไม่เป็นธรรมกับเขามากๆ คือ กระบวนการในการตั้งข้อหาที่รุนแรง มันทำให้ต้องใช้เงินจำนวนมากในการประกันตัว กว่าจะมีเงินประกัน แต่ละคนก็ต้องติดคุกไป ทั้ง ๆ ที่โดยศักยภาพของชาวบ้านเขาไม่สามารถที่จะกระทำความผิดตามที่กล่าวหาได้

สุดท้าย กระบวนการพิจารณาที่ล่าช้า ซึ่งเกิดจากวิธีการว่าความของฝ่ายอัยการทหารเอง หรือบางครั้งศาลไม่สามารถบังคับพยานโจทก์มาศาลทุกนัดได้ ทำให้จำเลยซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนนอกพื้นที่ จ.ขอนแก่น ต้องใช้ค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาศาล รวมทั้งไม่ได้ทำมาหากิน ขาดรายได้ เท่ากับพวกเขาไม่ได้รับความเป็นธรรมจากกระบวนการที่เขาถูกเอามาฟ้องในศาล นอกจากนี้ มีจำเลย 3 คน ที่ถูกดำเนินคดีอื่นด้วย คือคดี 112 ทั้งสามคนก็ไม่ได้รับการประกันตัว ซึ่งก็ถือว่าพวกเขาไม่ได้รับความเป็นธรรมเช่นกัน”

 

**ข้อมูลเพิ่มเติม

จำเลยขอนแก่นโมเดลทั้ง 26 คน ได้รับประกันตัวทั้งหมด ในช่วงเดือน ต.ค. 57 – ก.พ. 58 แต่แล้วปลายเดือน พ.ย. 58 จำเลย 4 คน ถูกออกหมายจับพร้อมกับคนอื่น ๆ รวม 9 คน ในข้อหาหมิ่นประมาท ดูหมิ่น พระมหากษัตริย์ฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ขณะที่การแถลงข่าวของตำรวจระบุว่า ทั้งหมดเตรียมการก่อเหตุรุนแรงในกิจกรรม Bike for Dad และเชื่อมโยงว่าเป็นขบวนการเดียวกับ “ขอนแก่นโมเดล” ทั้งที่ 1 ในผู้ถูกออกหมายจับอยู่ในเรือนจำจังหวัดขอนแก่น (อ่านเพิ่มเติมใน ประมวลเหตุการณ์คดีผู้ต้องหาวางแผนป่วนกิจกรรม Bike for Dad) จำเลย 2 คน ถูกจับและคุมขังในเรือนจำอีกครั้ง โดยศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัว (อ่านเพิ่มเติมใน ศาลทหาร มทบ. 23 สั่งไม่อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยคดี “ป่วน Bike for Dad”) ขณะที่อีก 1 คน หลบหนี

 

อ่านข่าวคดีขอนแก่นโมเดลก่อนหน้านี้:

ศาลทหาร-ศาลจังหวัดขอนแก่นเห็นพ้อง ศาลทหารมีอำนาจพิจารณาคดี ‘ขอนแก่นโมเดล’ พร้อมชี้ รธน.57 รับรองประกาศ คสช.

ผบ.ฉก.ร.8 ผู้สั่งการจับกุมจำเลย ‘ขอนแก่นโมเดล’ เข้าตอบคำถามค้านทนายจำเลยนัดที่สอง

สืบพยานโจทก์คดี ‘ขอนแก่นโมเดล’ ยังไม่คืบ พยานทหารติดราชการ เลื่อนสืบไปอีก

พยานโจทก์ ‘ขอนแก่นโมเดล’ รับปืนพกของกลางมีหมายเลขตรงใบอนุญาต

ทหารให้ลูกและ กสม.เข้าเยี่ยม ‘สาววินมอเตอร์ไซค์ลูกสอง’ ขายเสื้อยืด อาจคุมตัวถึง 7 วันแล้วส่งดำเนินคดี

++++


วันนี้ (9 ก.ย. 61) เวลา 09.15 น. ที่กองพันทหารราบ มทบ. 11 นางอังคณา นีละไพจิตร กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ นำลูกชาย 2 คน ของนางวรรณภา ผู้ถูกนำตัวจากที่พักมาควบคุมไว้ที่ มทบ.11 เป็นวันที่ 4 เหตุจากมีเสื้อยืดสีดำมีโลโก้สี่เหลี่ยมขาวสลับแดง เข้าเยี่ยมนางวรรณภา โดยมี พ.อ. บุรินทร์ ทองประไพ มารับคณะผู้เข้าเยี่ยมที่ประตู มทบ.11 ไม่อนุญาตให้ทนายความ สื่อมวลชน และบุคคลอื่นเข้าเยี่ยมด้วย

หลังการเข้าเยี่ยมทหารแจ้งว่า คาดว่าจะนำนางวรรณภาส่งให้ตำรวจดำเนินคดีประมาณวันที่ 11 หรือ 12 ก.ย. 61 โดยให้เตรียมหลักทรัพย์ประกันตัวไว้

ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนเห็นว่า การจับกุมและควบคุมตัวดังกล่าวนี้ เป็นการควบคุมตัวบุคคลโดยใช้อำนาจตามอำเภอใจ ซึ่งอาศัยฐานที่มาแห่งกฎหมายจากการรัฐประหาร อันมีผลทำให้บุคคลถูกควบคุมตัวในที่ลับ ไม่สามารถติดต่อบุคคลอื่นได้ เสี่ยงต่อการกระทำทรมานและการปฏิบัติที่เลวร้ายอื่น ยิ่งไปกว่านั้น ข้อเท็จจริงที่ได้มาระหว่างการควบคุมดังกล่าวยังถูกนำมาใช้ในการดำเนินคดี ซึ่งขัดต่อกระบวนการยุติธรรมทางอาญาและหลักการพิจารณาคดีที่เป็นธรรม

การใช้อำนาจในลักษณะดังกล่าวโดยเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่ควรถูกทำให้กลายเป็น “เรื่องปกติ” ที่เกิดขึ้นได้อย่างต่อเนื่องในสังคม

อ่านรายละเอียดที่
http://www.tlhr2014.com/th/?p=8803

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้องก่อนหน้านี้:

ทหารพร้อมนอกเครื่องแบบ บุกรวบ 2 แม่ พร้อมเสื้อยืด ยังไม่ทราบที่ควบคุมตัว

‘สาววินมอเตอร์ไซค์ลูกสอง’ ถูกทหารคุมตัวเข้าวันที่ 3 เหตุมีเสื้อดำลายโลโก้ขาวแดงในครอบครอง